ทุกกระแสข่าวที่มีแนวโน้มออกไปในทางที่เป็น “ลบ”  มีผลกระทบต่อ “รัฐบาล”  หรือ “พรรคร่วมรัฐบาล” ที่ลงเรือร่วมกัน มักจะได้รับการปฏิเสธ ครั้งแล้ว ครั้งเล่า ว่าไม่ใช่เรื่องจริง พร้อมกันนี้ ทั้ง “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้มีอิทธิพลเหนือพรรคเพื่อไทย และรัฐบาลเอง ต่างออกมาปฏิเสธ
    

เช่นเดียวกัน แกนนำจากพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะที่ต่างอยู่ในกระแสข่าว ว่าเกิดความขัดแย้ง คือพรรครวมไทยสร้างชาติและพรรคภูมิใจไทย ทุกคนย้ำว่าความสัมพันธ์ ใน “รัฐบาลผสม” ยังกลมเกลียว เหนียวแน่น 


    โดยเฉพาะทักษิณ เองได้ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ไปลุยหาเสียงให้กับลูกพรรคเพื่อไทย ในการเลือกตั้งนายกอบจ.ที่เชียงราย ว่า “นายกฯอิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ บอกว่าในการทำงานกับพรรคร่วมรัฐบาลนั้นไม่มีปัญหาใดๆ 


    แต่ในทางการเมืองแล้ว ต้องยอมรับว่า เมื่อถึงเวลา “ลงสนาม” หรือการแข่งขันใหญ่มาถึง ดูจะเป็นเรื่องยาก ที่จะให้ฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่ง “ฮั้ว” หรือลดราวาศอกให้กันในสังเวียน  ด้วยเหตุนี้จึงจะพบว่าสนามเลือกตั้งระดับท้องถิ่น ที่กำลังจะเปิดฉากขึ้นในวันที่ 1 ก.พ.68 คือการเลือกตั้งนายกอบจ. จึงไม่มีใครยอมใคร !
 

   เมื่อสนามเลือกตั้งอบจ.ทั่วประเทศ คือ “ฐานการเมือง” สำคัญที่จะนำไปสู่การสร้างโอกาส ต่อยอดให้กับสนามใหญ่ คือการเลือกตั้งสส. ที่จะมีขึ้นในปี 2570 หากรัฐบาลอยู่ครบเทอม แต่น่าสนใจว่า สังเวียนนี้ ทั้ง พรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย ต่างไม่มีใครยอมถอยให้กัน !
  

 แม้  “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและรมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยเอง จะบอกกับสื่อหลายต่อหลายครั้งว่า พรรคภูมิใจไทย จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเลือกตั้งท้องถิ่น นอกจากนี้ ยังกำชับให้ ข้าราชการมหาดไทย ต้องวางตัว “เป็นกลาง” 


    ทว่าหลายคนต่างรู้ดีว่ายิ่งเมื่อทักษิณ ประกาศต่อหน้าสมาชิกพรรคเมื่อวันงานเลี้ยงสังสรรค์ปีใหม่ ที่ผ่านมา ว่าจะทวงคืนความยิ่งใหญ่ให้พรรคเพื่อไทย และจะกวาดเก้าอี้นายกอบจ. ให้หมดนั้นคือการส่งสัญญาณแล้วว่า ศึกในสนามเลือกตั้ง ระหว่างพรรคเพื่อไทยกับภูมิใจไทย ของ “ เนวิน ชิดชอบ” ผู้มีอิทธิพลตัวจริงของพรรค จะนำไปสู่การประดาบกันครั้งใหม่ 

    อย่าลืมว่า เมื่อการเลือกตั้ง “วุฒิสมาชิก” ในปี2567 ที่ผ่านมา พรรคภูมิใจไทย อยู่ในความนิ่งแต่กลับทำผลลัพธ์ได้อย่างน่าพอใจ เมื่อสว.ที่พาเหรดกันเข้าสภาสูง ล้วนแล้วแต่อยู่ในสังกัด “สายสีน้ำเงิน” ของภูมิใจไทย แทบทั้งสิ้น จากบทเรียนการเมืองระดับภาคพื้นซึ่งถือเป็น “เกมถนัด” ของภูมิใจไทย ยิ่งทำให้ ทักษิณต้อง “ออกแรง” มากขึ้นในวัย 75 ปีครั้งนี้ !!