ข้ามมาปีใหม่แล้ว ยังนำเสนอพระคติธรรม จากพระธรรมเทศนาพระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ) อันเกี่ยวเนื่อง “ปีใหม่” และการเปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะจิตใจไม่ให้เห่อหรือหลง เป็น “จิตใหม่” โดยนำเสนอต่อเนื่องดังนี้

“ทีนี้ถ้าเผอิญว่ามีจิตใจอันใดได้รับการอบรมดีมีความรู้ที่ถูกต้องในทางของธรรมะ จนกระทั่งจิตใจนั้นไม่ไปมัวยินดียินร้ายในเรื่องได้เรื่องเสียในเรื่องสิ่งต่างๆ แล้ว นั้นแหละดูให้ดีเถิดมันเป็นจิตใจใหม่ออกมา คือมันแปลกออกมา นั้นจิตใจของคนธรรมดาสามัญทั่วไปนั้นไม่มีอะไรใหม่ ไม่มีความใหม่ อยู่ที่ตรงไหน จนกว่าเมื่อไรจะมีการตรัสรู้หรือการรู้อย่างรู้แจ้งแทงตลอดที่ แท้จริงที่เกิดขึ้นในจิตใจนั้นต่างหาก จิตใจนั้นจึงเป็นจิตใจใหม่ ถ้าจะมองดูโดยเหตุมันก็คือปราศจากกิเลส  ถ้าจะมองดูโดยผลมันก็เป็นจิตใจที่สะอาด สว่าง สงบดี เมื่อมีจิตใจชนิดนี้เกิดขึ้นก็เรียกว่าจิตใจใหม่  มันไม่ได้อยู่ที่เวลา วันคืน เดือนปี ที่เปลี่ยนไปหมุนไปตามสมมุติหรือบัญญัติเหล่านั้นเลย  แต่มันอยู่ที่ว่าจิตใจของคนได้เปลี่ยนหรือไม่ ถ้าจิตใจของคนเปลี่ยนไปอย่างตรงกันข้ามจากธรรมดาจึงจะเรียกว่าใหม่  งั้นจิตใจใหม่จึงคือจิตใจที่มีการตรัสรู้เกิดขึ้นแล้วอย่างแน่นอน

ทีนี้เรามาพูดกันว่าปีใหม่ เอาความใหม่ไปยกให้กับเวลาที่เรียกว่าปี  ปีหนึ่งปีหนึ่งเป็นปีใหม่ปีเก่าขึ้นมาดังนี้ดูมันจะไม่ฉลาดอะไรนักเพราะปีมันเป็นของซ้ำๆ ซากๆ ดังที่กล่าวมาแล้ว ไม่ควรจะเป็นปีใหม่อะไรขึ้นมาได้เลยเพราะมันซ้ำอยู่อย่างนั้น  แต่สำหรับหัวใจของคนนั้นมันเปลี่ยนได้นั้นถ้ามันเปลี่ยนได้จริงจึงจะเรียกว่าจิตใจใหม่ เช่นนั้นเราจะมีจิตใจใหม่ได้โดยที่ไม่ต้องตรงกับวันปีใหม่ เดือนใหม่อะไร ถ้ามันใหม่อยู่ที่ชีวิตของเราก็ให้มันใหม่จริงก็แล้วกัน  ความหมายในทางภาษาคนมันสิ้นสุดลงเท่านั้น คือว่าเอาเวลาเป็นหลัก เป็นอดีต เป็นอนาคต เป็นปัจจุบัน เป็นเรื่องของคนโง่ ที่ยังไม่รู้ว่าเวลานั้นคืออะไร ทีนี้ไอ้สิ่งสำคัญที่สุดที่เราจะต้องเข้าใจและศึกษากันให้ดีก็คือคำว่า ปัจจุบัน นั่นแหละสำคัญอย่างยิ่ง

คำว่าปัจจุบันในภาษาคนโง่นั้นมันเป็น อย่างหนึ่ง คำว่าปัจจุบันในภาษาพระอริยเจ้าหรือผู้รู้ที่แท้จริงนั้นมันเป็นอีกอย่างหนึ่ง มันสองปัจจุบันอยู่ดูให้ดีๆ  ปัจจุบันในภาษาคนนั้นเป็นของหลอกลวงที่สุด คือไม่มีจริง ปัจจุบันในภาษาธรรมหรือภาษาพระอริยเจ้านั้นเป็นของจริงที่สุดและได้มีอยู่จริงขอให้สังเกตดูให้ดีและค้นหาดูให้พบ  ปัจจุบันในภาษาคนมิได้มีอยู่จริงเพราะคนมันไปโง่หลงเป็นทาสของเวลาสมมติเป็น อดีต ปัจจุบัน และ อนาคต  แต่แล้วเวลานั้นมันเป็นสิ่งที่ไหลเรื่อยจนเราไม่อาจจะยึดเอาส่วนไหนให้เป็นอะไรได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือคำว่าปัจจุบัน  ปัจจุบันตามความรู้สึกของคนธรรมดาสามัญนั้นมันมีไม่ได้เพราะว่าสิ่งต่างๆ มันเปลี่ยนไปเรื่อย  แม้แต่ร่างกาย จิตใจนี้ มันก็เปลี่ยนไปเรื่อย และเมื่อเอาจิตเป็นหลักแล้ว ปัจจุบันแทบจะหาไม่ได้เพราะว่าจิตมันเกิดดับ เกิดดับ อยู่เสมอ  ความคิดของคนเราจะเป็นปัจจุบันอยู่ไม่ได้ มันกลายเป็นความคิดที่อดีตไปทุกๆ คำที่พูดหรือว่าทุกๆ เรื่องที่เอามาพูด พูดไม่ทันจบเรื่อง ส่วนต้นๆ มันก็กลายเป็นอดีตไปแล้ว จิตนี้มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป  ดังนั้นใครจะเอาส่วนไหนของมันมาเป็นปัจจุบันได้  นี่แหละที่ผู้รู้เขารู้กันและพูดกันว่า ปัจจุบันชนิดนั้นมิได้มี แต่คนโง่ๆ ก็ว่ามี คนธรรมดาสามัญ ก็ว่ามี”ยังมีต่อ

(https://www.pagoda.or.th/buddhadasa/2512.html)