แม้ “ทักษิณ ชินวัตร” ผู้มีอิทธิพลเหนือพรรคเพื่อไทย และรัฐบาล ของ “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี  และวันนี้ยังสามารถเคลื่อนไหวโลดแล่นอยู่หน้าฉาก ลงพื้นที่ได้อย่างต่อเนื่อง สวมบทบาท “นักการเมือง” ล้ำหน้าไปกว่าการทำหน้าที่ “ผู้ช่วยหาเสียง” ตามที่พรรคเพื่อไทย มอบหมายภารกิจให้
 

แต่ลึกๆแล้ว “ฝ่ายตรงข้าม” ที่ยืนประจันหน้ากับทักษิณ ตั้งแต่ก่อนส่งท้ายปีเก่า 2567 ยังเชื่อว่า สิ่งที่เขาแสดงออก อาจ “สวนทาง” กับ “ความหวั่นไหว” ภายในใจ เพราะทักษิณ ย่อมรู้ดีว่า ถึง “ดีลลับ” ยังไม่หมดอายุ แต่ย่อมไม่ได้หมายความว่า  การดำรงอยู่ของทักษิณ ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า จะราบรื่นตลอดไป 
 “จตุพร พรหมพันธุ์” แกนนำคณะหลอมรวมประชาชน อดีตลูกน้องของทักษิณ ยังมั่นใจว่า อีกไม่นาน “นายเก่า” จะต้องกลับเข้าเรือนจำ เพราะยังมี “จุดตาย” อยู่ที่ ศาลฎีกา แผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง 
 

“ ในฐานะเป็นผู้พิพากษาลงโทษจำคุก ทักษิณ ชินวัตร ในคดีทุจริตคอร์รัปชั่น แม้ ทักษิณ ได้รับพระบรมราชโองการลดโทษเหลือ 1 ปี แต่ไม่ปรากฏได้รับโทษสักวัน 
 ฉะนั้นเรื่องนี้จะเป็นคดีประวัติศาสตร์ของไทย เมื่อความอยุติธรรมตำหน้าตำตาคนไทยทั้งชาติ ยังสามารถเปลี่ยนดำเป็นขาวได้ ดังนั้นกรณีนี้จะเป็นอุทาหรณ์ที่ใหญ่มาก”( 26 ธ.ค.67) 

 นอกจากนี้ยังมีคดีชั้น 14 ที่อยู่ในมือ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)ซึ่งล่าสุดที่ผ่านมา เครือข่ายกลุ่มคนต้านทักษิณ พากันยกขบวนบุกไปที่หน้าสำนักงานป.ป.ช. เพื่อให้กำลังใจไปพร้อมๆกับการกดดันให้ป.ป.ช. เร่งมือพิจารณาคดีชั้น 14 


 จตุพร ยังชี้เป้าให้จับตาดูวันที่ 15 ม.ค.68 ที่ “แพทยสภา” ขีดเส้นตายให้แพทย์รักษา ทักษิณ ส่งรายงานการรักษามาตรวจสอบ เท่ากับว่า คดีชั้น 14 คือ “ขวากหนาม” ที่ยังคอยสกัดทำให้ตลอดเส้นทางของทักษิณ ยังต้องอยู่ในความหวั่นไหว หวาดวิตก เพราะไม่รู้ว่าผลการพิจารณา คำร้องชั้น 14 จะออกมาหน้าไหน ? 
 ดังนั้นแม้ทักษิณ จะยิงหมัดตรงไปถึงจตุพร หลายครั้งหลายคราว แต่ไม่สามารถ “หยุด” จตุพร และเครือข่ายต้านทักษิณ ให้อยู่ในความสงบลงได้