เสรี พงศ์พิศ

Fb Seri Phogphit

ฮันส์ คริสเตียน อันเดอร์เสนทำให้โลกได้รู้จักนิทานสนุกและสอนใจมากมาย อย่าง ลูกเป็ดขี้เหร่ เงือกน้อย ฉลองพระองค์ใหม่ของพระราชา เด็กน้อยขายไม้ขีดไฟ เป็นต้น

ประสบการณ์ที่เลวร้ายในชีวิตทำให้เขาเขียนบางเรื่องจบแบบเศร้าอย่าง เด็กหญิงขายไม้ขีดไฟ ที่หนาวตายข้างถนนหน้าบ้านที่มีการฉลองรื่นเริงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่กัน

ได้ขอให้ผู้ช่วยชื่อ “ชัช” ช่วยเขียนให้ใหม่ โดยให้กรอบเนื้อหาให้ลงท้ายดีๆ สร้างแรงบันดาลใจ

“ในค่ำคืนฤดูหนาวที่หนาวเย็น หิมะโปรยปรายเบา ๆ ปกคลุมถนนที่ปูด้วยหินในเมืองเล็ก ๆ บ้านเรือนส่องแสงอบอุ่นไปด้วยเสียงหัวเราะและความสุขจากครอบครัวที่เฉลิมฉลองด้วยกัน แต่ภายนอกท่ามกลางความหนาวเหน็บ เด็กหญิงตัวน้อยคนหนึ่งเดินไปตามถนน เสื้อผ้าบาง ๆ ของเธอแทบไม่ช่วยให้ร่างกายอบอุ่นได้เลย มือเล็ก ๆ ของเธอถือมัดไม้ขีดไฟ หวังว่าจะขายได้บ้างเพื่อแลกกับเศษเหรียญเล็ก ๆ

แก้มของเธอแดงเพราะความหนาว เท้าเล็ก ๆ เปลือยเปล่า เพราะรองเท้าของเธอหายไปในกองหิมะ เธอพยายามร้องเรียกคนที่เดินผ่านไปมา แต่ไม่มีใครสนใจ เธอนั่งลงที่มุมเงียบสงบ มองหาวิธีทำให้มือของเธออุ่นขึ้น เธอจุดไม้ขีดไฟแท่งหนึ่ง แล้วตามด้วยอีกแท่ง เปลวไฟที่ริบหรี่แต่ละดวงนำภาพแห่งความอบอุ่นและความสุขมาให้เธอ เตาไฟที่ลุกโชติช่วง โต๊ะที่เต็มไปด้วยอาหารมากมาย และคุณย่าผู้ใจดีที่จากไปนานแล้ว

ขณะที่เธอกำลังจะจุดไม้ขีดไฟก้านถัดไป เสียงนุ่ม ๆ เสียงหนึ่งขัดจังหวะความคิดของเธอ

“หนูน้อย ทำไมถึงมาอยู่ตรงนี้ในความหนาวเย็นแบบนี้”

เด็กหญิงเงยหน้าขึ้นมอง และพบกับชายคนหนึ่งที่มีใบหน้าอ่อนโยนยืนอยู่ตรงหน้า เขาคงไม่ใช่คนร่ำรวย เสื้อคลุมของเขาดูเก่า มือหยาบกร้านจากการทำงาน แต่ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความห่วงใย

“หนูพยายามขายไม้ขีดไฟค่ะ” เด็กหญิงกระซิบเบา ๆ ตัวสั่นขณะที่พูด

ชายคนนั้นคุกเข่าลงข้าง ๆ เธอ “ไปกับฉันเถอะ หนูอยู่ที่นี่ในความหนาวนี้ไม่ได้แล้ว”

แม้ตอนแรกเธอจะลังเล แต่ความใจดีของชายคนนั้นก็ทำให้เธอหายกลัว เขาพาเธอไปยังบ้านเล็ก ๆ แต่แสนอบอุ่นของเขา มันไม่ใหญ่โตหรูหรา แต่ความอบอุ่นจากเตาผิงและกลิ่นหอมของซุปที่กำลังเดือดบนเตาทำให้ที่นั่นดูเป็นสถานที่ที่วิเศษที่สุดในโลก ชายคนนั้นให้ผ้าห่มอุ่น ๆ แก่เธอ ชามซุปร้อน ๆ และรองเท้าคู่หนึ่งที่เคยเป็นของลูกสาวเขา ซึ่งตอนนี้โตเกินไปที่จะใส่มันแล้ว

คืนนั้น ขณะที่เด็กหญิงนอนอยู่บนเตียงนุ่ม ๆ เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี เธอฝัน ในความฝัน คุณย่าที่รักของเธอปรากฏตัวขึ้น ใบหน้าของคุณย่าส่องสว่างไปด้วยความรัก

“หลานรักของย่า” คุณย่าพูดอย่างแผ่วเบา “ตอนนี้หลานปลอดภัยแล้ว แต่หลานยังมีภารกิจหนึ่ง เด็ก ๆ มากมายในโลกนี้ยังต้องทนทุกข์เหมือนกับหลาน หัวใจของหลานแข็งแกร่ง วันหนึ่ง หลานจะช่วยพวกเขาได้”

เด็กหญิงตื่นขึ้นมาพร้อมกับความมุ่งมั่นที่เธอยังไม่เข้าใจ ชายใจดีคนนั้นให้ที่พักแก่เธอในบ้านของเขา แม้ไม่ร่ำรวย แต่เขาสอนเธอเท่าที่ทำได้ และหาทางส่งเธอไปโรงเรียน เด็กหญิงขยันเรียนและช่วยงานบ้านอย่างเต็มที่ เมื่อเธอโตขึ้น ความตั้งใจที่จะทำตามคำพูดของคุณย่าก็ยิ่งแรงกล้าขึ้น

หลายปีผ่านไป เด็กหญิงคนนั้นเติบโตขึ้นเป็นหญิงสาว เธอทำงานอย่างหนัก เริ่มจากการเป็นช่างตัดเย็บเสื้อผ้า และต่อมาเป็นครูไปพร้อมกันเพื่อหารายได้ เธอเก็บออมเงินทุกบาททุกสตางค์ที่ทำได้ เธอไม่เคยลืมคืนที่เธอเคยอยู่ท่ามกลางความหนาวเย็น หรือภาพของคุณย่าที่คอยกระตุ้นให้เธอช่วยเหลือผู้อื่น

เมื่อเธอเก็บเงินได้มากพอ เธอเริ่มโครงการเล็ก ๆ เพื่อช่วยเหลือเด็ก ๆ ที่เหมือนกับเธอ เด็กที่ไม่มีเสื้อผ้าอบอุ่น ไม่มีอาหาร และไม่มีใครดูแล เธอมอบที่พัก อาหาร และการศึกษาให้พวกเขา โครงการของเธอเติบโตขึ้นจากความมุ่งมั่นและน้ำใจของคนอื่น ๆ ที่ร่วมฝันเดียวกัน ในที่สุด เธอได้เปิดบ้านที่เด็กยากจนสามารถพักอาศัย

โรงเรียนที่พวกเขาได้เรียนรู้วิชาและทักษะเพื่อสร้างชีวิตที่ดีขึ้น

เด็กหญิงผู้เคยถูกลืมอยู่ท่ามกลางความหนาวเหน็บ กลายเป็นแสงสว่างแห่งความหวังให้แก่ผู้อื่น ชื่อของเธอถูกเอ่ยด้วยความซาบซึ้งจากครอบครัวที่เธอได้ช่วยเหลือ ความอบอุ่นที่เธอแบ่งปันได้แผ่ขยายไปไกล

ในคืนฤดูหนาวที่เงียบสงบคืนหนึ่ง คล้ายกับคืนที่การเดินทางของเธอเริ่มต้นขึ้น เธอยืนอยู่ริมหน้าต่างของบ้านหลังหนึ่ง มองหิมะโปรยปรายอย่างแผ่วเบา เธอหลับตาลงและกระซิบเบา ๆ ว่า “ขอบคุณค่ะ คุณย่าขา หนูทำตามที่ย่าขอแล้ว”

และในสายลมที่พัดผ่านเบา ๆ ราวกับมีเสียงคุณย่าตอบกลับมา “ทำได้ดีมาก หลานรัก ความอบอุ่นที่หลานมอบให้จะคงอยู่ตลอดไป”

เด็กหญิงที่เคยขายไม้ขีดไฟท่ามกลางความหนาวเหน็บ ได้กลายเป็นแสงสว่างให้กับทุกคนที่ต้องการมัน เรื่องราวของเธอเป็นเครื่องเตือนใจว่า แม้ในช่วงเวลาที่มืดมนที่สุด ความเมตตาและความมุ่งมั่นสามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้” (จบ)

เรื่องเล็กๆ กิจกรรมเล็กๆ มีพลังเสมอ เหมือนที่นักบุญคุณแม่เทเรซา แห่งกัลกัตตาถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า แทนที่จะช่วยคนเจ็บคนป่วยข้างถนน น่าจะไปบอกรัฐบาลให้มีนโยบายดีๆ เพื่อแก้ปัญหาความยากจนจะดีกว่า คุณแม่ตอบว่า “เราเพียงแต่ต้องการบอกคนที่เจ็บป่วยและกำลังจะตายว่า ยังมีคนที่รักเขาอยู่”

คุณแม่เทเรซา เป็นชาวอัลเบเนีย ตั้งคณะซิสเตอร์ทำงานกับคนยากคนจนในอินเดียและในหลายประเทศรวมทั้งที่อิตาลี ท่านบอกว่า “เราไม่ได้ทำอะไรใหญ่โต แต่เราทำด้วยหัวใจที่ยิ่งใหญ่ต่างหาก”

ขอให้เทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ ให้โอกาสเราได้แบ่งปันความสุขแก่คนอื่น ไม่ว่าจะเล็กน้อยเพียงใด เพื่อให้ “เมตตาธรรมค้ำจุนโลก”