การตั้งฉายารัฐบาล ฉายา “นายกรัฐมนตรี” หรือแม้แต่ “รัฐมนตรี” คนใดก็ตาม ย่อมไม่ได้ทำให้หัวขบวน ทั้งเจ้าของ “บ้านจันทร์ส่องหล้า” หรือผู้มีอิทธิพลเหนือพรรคการเมืองในรัฐบาล เกิดความหวั่นไหว แม้จะเป็นเสียงสะท้อนผ่านสื่อ ผ่านสังคมที่มองเข้ามา ยัง รัฐบาลที่มี “พรรคเพื่อไทย” เป็นแกนนำ มี “แพทองธาร ชินวัตร” เป็นนายกฯ หรือการที่มี “ทักษิณ ชินวัตร” คือคนกำหนดเกมให้กับพรรคเพื่อไทย ในทุกสนาม
นายกฯแพทองธาร ย่อมรู้ดีว่าคลื่นลมที่พัดเข้ามากระทบตัวเธอเอง หรือพรรคเพื่อไทยนั้น แทบไม่ผลอย่างใด อย่างหนึ่ง หรือแม้จะนำไปสู่ “การเปลี่ยนแปลง” ทางการเมืองตามมา เมื่อใดก็ตามที่ “ดีลลับ” ยังไม่หมดอายุ
การที่สื่อมวลชนประจำทำเนียบฯ มอบฉายารัฐบาล ว่าเป็น “รัฐบาล พ่อเลี้ยง” เมื่อวันที่ 23 ธ.ค.67 ที่ผ่านมานั้น คือการตอกย้ำสิ่งที่เกิดขึ้น ตลอดห้วงระยะเวลาที่ผ่านมา กว่า 1ปีกับอีก 100 วันที่พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำรัฐบาล และยังมีแนวโน้มว่า เวลาที่เหลืออยู่ของรัฐบาล หากยืนระยะไปจนครบเทอม ปี 2570 บทบาทของ ผู้เป็น “พ่อ” อย่างทักษิณ จะยิ่งเพิ่มดีกรีมากขึ้น อย่างไม่ต้องสงสัย
โดยเฉพาะการทำหน้าที่ “เคลียร์คัต” ปัญหาความขัดแย้งภายในพรรคร่วมรัฐบาล ระหว่าง พรรคเพื่อไทยกับพรรคภูมิใจไทย ที่ “อนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกฯและรมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรค ได้รับฉายาจากสื่อเช่นกันว่า “ภูมิใจขวาง” เพราะภูมิใจไทย เล่นบทขวางพรรคเพื่อไทย แทบทุกเรื่อง ทั้งในสภาฯ ไปจนถึงครม.
ด้วยเหตุนี้เมื่อปรากฏภาพ ทักษิณ ออกรอบตีกอล์ฟ และในก๊วนประกอบด้วย อนุทิน , สารัชถ์ รัตนาวะดี ประธานกรรมการบริหารของกัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ และ คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทปตท. จำกัด (มหาชน) ที่สนามกอล์ฟ Stone Hill club จ.ปทุมธานี เมื่อวันที่ 22 ธ.ค.67 ที่ผ่านมา จึงมีคำถามว่าภาพนี้ต้องการสื่ออะไร
โดยเฉพาะเป็นการตีกอล์ฟ เพื่อต้องการ “สยบร้าว” ระหว่างสองพรรคใหญ่ เพื่อประคับประคอง “รัฐบาล” ให้อยู่ไปตลอดรอดฝั่ง โดยพ่อ อย่างทักษิณ ใช่หรือไม่
และดูเหมือนว่าคำตอบนั้นชัดเจน เมื่อทักษิณ บอกเองว่า “จากนี้ไม่มีปัญหาแล้ว” ทั้งอนุทิน กับแพทองธาร จะสามารถทำงานด้วยกันได้ น่าสนใจว่าการสยบปัญหาครั้งนี้ จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ทักษิณ บอกจริงหรือไม่