รศ.ดร.สุขุม เฉลยทรัพย์
ที่ปรึกษาอธิการบดีมหาวิทยาลัยสวนดุสิต
การเรียนรู้ที่ดีไม่ใช่แค่ทำให้เด็กเก่งขึ้น แต่ต้องทำให้เด็กมีความสุขและพร้อมรับมือกับชีวิตที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ซึ่งการศึกษาในระยะยาวแสดงให้เห็นว่าเด็ก ๆ ที่มีส่วนร่วมในสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่สนุกสนานและมีความสุขมีแนวโน้มที่จะศึกษาต่อในระดับสูงและประสบความสำเร็จในอาชีพการงานที่ดีขึ้นในภายหลังถึงร้อยละ 30
เมื่อโลกเปลี่ยนแปลงไปแล้วและยังเปลี่ยนต่อไปอย่างรวดเร็ว เทคโนโลยีและนวัตกรรมได้เข้ามาเปลี่ยนวิถีชีวิตของผู้คนในทุกมิติ ระบบการศึกษาเองก็ไม่อาจยืนหยัดอยู่กับที่หรือใช้แนวคิดแบบเดิม ๆ ได้อีกต่อไป เพราะเด็กในวันนี้ต้องเติบโตขึ้นมาท่ามกลางความท้าทายของโลกยุคดิจิทัลที่เต็มไปด้วยข้อมูลข่าวสารที่หลั่งไหลอย่างไร้ขีดจำกัด เด็กจำเป็นต้องมีทักษะการเรียนรู้ที่ลึกซึ้ง รอบด้าน และสามารถประยุกต์ใช้ได้จริง แต่ในทางตรงกันข้าม ระบบการศึกษาไทยกลับยังคงวนเวียนอยู่กับรูปแบบการสอนที่เน้นการท่องจำ การวัดผลด้วยคะแนนสอบ และการสอนที่เน้นผู้สอนเป็นศูนย์กลาง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้เด็กขาดความสุขในการเรียนรู้และไม่สามารถพัฒนาศักยภาพของตนเองได้เต็มที่
ครูไทยจึงเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนการปฏิวัติการศึกษา เพราะห้องเรียนคือจุดเริ่มต้นที่จะทำให้เด็กเติบโตเป็นคนที่ "ฉลาดรู้ ฉลาดคิด และฉลาดทำ" ครูจะต้องเป็นผู้สร้างการเรียนรู้ที่เต็มไปด้วยความหมาย สร้างแรงบันดาลใจให้เด็กมีความใฝ่รู้ และมีความสุขไปพร้อมกับการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ การสร้างเด็ก “ฉลาดรู้” ในที่นี้จะหมายถึงการทำให้เด็กไทยมีทักษะในการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง ไม่ใช่เพียงการท่องจำความรู้จากหนังสือเรียน แต่คือการเข้าใจอย่างลึกซึ้ง วิเคราะห์ข้อมูล และค้นพบคำตอบที่มีความหมายต่อตนเอง ผ่านวิธีการเรียนรู้
เชิงรุก (Active Learning)
การเรียนรู้เชิงรุก คือการที่ครูให้นักเรียนได้มีส่วนร่วมในการเรียนรู้มากขึ้น เปลี่ยนบทบาทจากผู้ฟังที่อยู่เฉย ๆ เป็นผู้ค้นหาความรู้และสร้างองค์ความรู้ขึ้นมาเอง ครูอาจเริ่มต้นด้วยการจัดการเรียนการสอนในรูปแบบ Project-Based Learning (PBL) ที่ให้นักเรียนได้ทำโครงงานที่มีความเชื่อมโยงกับชีวิตจริง เช่น การศึกษาปัญหาสิ่งแวดล้อมในชุมชน การสร้างแผนธุรกิจขนาดเล็ก หรือการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ที่ต้องใช้ทักษะการสังเกต ทดลอง และวิเคราะห์ผลลัพธ์ นอกจากนี้ การเรียนรู้ผ่านสถานการณ์ปัญหา (Problem-Based Learning) ก็จะช่วยให้นักเรียนมีทักษะการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ ฝึกการคิดอย่างมีวิจารณญาณ และเกิดความมั่นใจในการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ด้วยตนเอง
เมื่อเด็ก “ฉลาดรู้” แล้วก็ต้องมุ่งสร้างให้ “ฉลาดคิด” ไปพร้อมกัน ทักษะการคิดวิเคราะห์และการคิดสร้างสรรค์เป็นสิ่งที่เด็กยุคใหม่ขาดไม่ได้ ครูจะต้องเปลี่ยนวิธีการสอนจากการถ่ายทอดความรู้มาเป็นการตั้งคำถามที่ท้าทาย ให้นักเรียนได้ขบคิดและแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ การอภิปราย การทำงานกลุ่ม หรือการวิเคราะห์กรณีศึกษา (Case Study) จะช่วยให้นักเรียนได้ฝึกการคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผล
มองปัญหาในหลายมิติ และสร้างสรรค์แนวทางแก้ไขที่แปลกใหม่ การคิดเชิงสร้างสรรค์นั้นไม่ได้จำกัดอยู่แค่ศิลปะหรือการออกแบบ แต่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับทุกวิชาและทุกสถานการณ์
อย่างไรก็ตาม ความรู้และความคิดจะมีคุณค่าได้ต้องสามารถนำไป “ปฏิบัติ” ได้จริง การสร้างเด็ก “ฉลาดทำ” คือการเชื่อมโยงการเรียนรู้ในห้องเรียนสู่การปฏิบัติจริง เพื่อให้เด็กเข้าใจอย่างลึกซึ้งและเห็นคุณค่าของความรู้ที่ได้มา ครูควรจัดกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้นักเรียนได้ลงมือทำ เช่น การทดลองวิทยาศาสตร์ การทำกิจกรรมในชุมชน หรือการฝึกทักษะวิชาชีพที่เหมาะสมกับวัย เมื่อเด็กได้เรียนรู้ผ่านประสบการณ์ตรงก็จะเกิดความภูมิใจในตนเอง เห็นความสำคัญของสิ่งที่เรียน และมีความสุขกับการเรียนรู้ไปพร้อมกัน
การปฏิวัติการศึกษาเพื่อสร้างเด็ก “ฉลาดรู้ ฉลาดคิด ฉลาดทำ” จึงไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย โดยคุณครูต้องปรับบทบาทของตนเองให้เป็นผู้สร้างแรงบันดาลใจ และผู้อำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ (Facilitator) มากกว่าการเป็นผู้บรรยายเพียงฝ่ายเดียว ขณะที่ผู้ปกครองต้องสนับสนุนและเข้าใจการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบการเรียนรู้ใหม่ ๆ และภาครัฐ ต้องให้ความสำคัญกับการจัดสรรทรัพยากรและการพัฒนาครูให้มีความรู้และทักษะที่ทันสมัย
การปฏิวัติการศึกษาไม่ใช่เพียงเพื่อการพัฒนาทางวิชาการเท่านั้น!!! แต่ยังต้องเป็นการสร้างความสุขในการเรียนรู้ให้กับเด็ก
ทุกคน เพราะการเรียนรู้ที่มีความหมายและเต็มไปด้วยความสุข ทำให้เด็กมีแรงจูงใจอยากเรียนรู้มากขึ้น มีภาวะผู้นำสูงขึ้น และผลลัพธ์ต่อมาคือผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ดีขึ้น และเมื่อเด็ก ๆ เติบโตขึ้นก็จะเป็นผู้ใหญ่ที่มีความมั่นใจ มีความรับผิดชอบต่อสังคม และมีศักยภาพที่จะขับเคลื่อนประเทศให้ก้าวหน้าในอนาคตอย่างยั่งยืน
การศึกษาไทยต้องเริ่มต้นใหม่อย่างมีความหวัง...และเนื่องในโอกาสวันครู “พฤหัสบดีที่ 16 มกราคม 2568” ที่กำลังจะมาถึง
ครูและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่ายต้องช่วยกันทำให้คำขวัญวันครูที่ว่า "เรียนดี มีความสุข" ครูไทยร่วมใจปฏิวัติการศึกษา สร้างเด็กฉลาดรู้
ฉลาดคิด ฉลาดทำ สำเร็จเป็นรูปธรรม ทั้งนี้เพื่ออนาคตที่สดใสและแข็งแกร่งของประเทศไทยกันต่อไปนะครับ...