สถาพร ศรีสัจจัง
จากยุค “พึ่งพิงธรรมชาติ” จนถึงยุค “อุตสาหกรรม” มนุษยชาติที่สืบเชื้อสายมาจาก “เซเปียนส์” ต้องผ่านบทเรียนที่เป็น “ประสบการณ์” ทั้งด้าน “สร้างสรรค์” และ “ทำลาย” มาอย่างมากมายสงครามโลกครั้งที่ 1 (พ.ศ.2457-2461) และ สงครามโลกครั้งที่ 2 (พ.ศ.2482-2488) ที่เต็มไปด้วยความรุนแรงแห่งการ “ฆ่า” ระหว่าง “เซเปียนส์"ด้วยกันนั้น อาจกล่าวได้ว่า ล้วนแล้วแต่เป็น “ผลผลิต” ที่เกิดจาก “การปฏิวัติอุตสาหกรรม” ทั้งสิ้น!
การปฏิวัติอุตสาหกรรมเกิดขึ้นครั้งแรกในยุค “จักรวรรดินิยมยุคเก่า” ที่ประเทศอังกฤษ คือเมื่อประมาณปี พ.ศ.2327 ตรงกับช่วงต้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ของ “สยาม” กินเวลาก่อนจะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 เพียง 130 ปี
ส่วนสงครามโลกครั้ง 2 ที่รุนแรงและกินพื้นที่ในโลกกว้างขวางกว่า มีคนตายมากกว่า (เพราะความก้าวหน้าของยุค “อุตสาหกรรม” ด้วยเครื่องมือที่รู้จักกันในชื่อ “ระเบิดปรมาณู” ที่สหรัฐอเมริกาเอามาประเคนใส่หัวคนญี่ปุ่นนั่นแหละ!)นั้นเกิดห่างมาอีกเพียง 21 ปี!
สงครามโลกครั้งที่ 2 นี้เองที่คน “สยาม” หรือ “ไทย” (ยุคหลังเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองใหม่ๆ) ก็ได้ร่วม “ชิมรสชาติ” ของความเจ็บปวดสูญเสียจาก “สงคราม” ร่วมกับชาวโลกโดยตรงจากการบุกของ “ญี่ปุ่น” ซึ่งเป็นประเทศผู้นำของ “ฝ่ายอักษะ” ในทวีปเอเชีย(ญี่ปุ่นบุกยึดประเทศสยามเมื่อปีพ.ศ.2484 ยุคจอมพลป.พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี)
จากนั้นโลกก็เข้าสู่ยุคสมัยที่เรียกกันว่า “ยุคสงครามเย็น” (Cold War)!
หลังพ.ศ.2488 (ค.ศ.1945) ที่เพิ่งสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ความขัดแย้งเรื่อง “การจัดการอำนาจและผลประโยชน์ในโลก” ระหว่าง “ชาติมหาอำนาจนำ” ที่เป็นผู้ชนะสงคราม คือประเทศสหรัฐอเมริกากับ “สหภาพโซเวียต” (คือประเทศรัสเซียปัจจุบัน) ก็เริ่มปรากฏชัด
มหาอำนาจอื่นที่เคยเป็น “จักรวรรดิ” มาก่อนอย่างอังกฤษ และฝรั่งเศสนั้น “หมดสภาพ” เพราะโดนสงครามถล่มเสียเละเทะแทบทุกเรื่อง ส่วนเยอรมันก็กลายเป็นประเทศแพ้สงครามต้องตั้งหลักตั้งสติกันใหม่หมด แถมยังถูกแบ่งแยกเป็น 2 ประเทศ 2 ระบบการปกครองอีกต่างหาก
คือเป็นเยอรมันตะวันตกที่ปกครองแบบ “เสรีทุนนิยม” ภายใต้การดูแลของสหรัฐอเมริกาและเยอรมันตะวันออกที่ปกครองในระบบสังคมนิยมมาร์กซิสต์ภายใต้การกำกับของสหภาพโซเวียต
ทั้ง 2 ประเทศคือสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตเริ่มแสดงตนเป็น “ผู้นำโลก” โดยการประกาศถึง “อุดมการณ์ทางการเมืองที่ต่างกัน 2 ขั้วอย่างชัดเจน”
ฝ่ายสหรัฐอเมริกานั้นประกาศตนชัดเจนว่าเป็นฝ่าย “ทุนเสรีนิยม” ส่วนฝ่ายสหภาพโซเวียตนั้นแสดงตนว่าเป็นผู้นำโลก “สังคมนิยม” ภายใต้อุดมการณ์แบบที่เรียกกันต่อมาว่าลัทธิ “คอมมิวนิสต์” (ยึดแนวคิดแบบ “มาร์กซ์-เลนิน” เป็นแนวคิดนำทางระบบเศรษฐกิจและการเมือง)
แต่เนื่องจากได้ประจักษ์มาใหม่ๆถึงความน่ากลัว และ ความสูญเสียทั้งชีวิตของผู้คนและทรัพย์สินจากผลของสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เพื่งเสร็จไปหมาดๆ ความขัดแย้งทาง “การเมือง” ระดับโลกครั้งใหม่นี้จึงปะทุออกมาในรูปแบบใหม่
คือทั้ง 2 ฝ่ายเลี่ยงที่จะปะทะกันด้วยกำลังทหารและกำลังอาวุธโดยตรง!
แต่ปะทะกันด้วย “การเมือง” “การจารกรรม” “การเร่งผลิตและสั่งสมอาวุธ รวมถึงยุทธปัจจัยเกี่ยวกับสงครามที่ทันสมัยและร้ายแรง” “การแย่งชิงทุกวิถีทางให้ประเทศต่างๆมาเป็นพวกฝ่ายตน” และการใช้ “สงครามตัวแทน” (Proxy War)ฯลฯ
ที่สำคัญสุดคือการทุ่มโหม “โฆษณาชวนเชื่อ” (Propraganda)เกี่ยวกับอุดมการณ์ทางการเมืองในทำนอง ของฝ่ายตนนั้นที่ดีงามเลอเลิศสูงส่งในทุกด้าน ในขณะที่จะป้ายสีสร้างภาพให้อุดมการณ์ของฝ่ายตรงข้าม เต็มไปด้วยความชั่วร้ายน่าขยะแขยงและเลวทรามต่ำช้าน่ากลัวเสียยิ่งกว่าปีศาจ!
คำ “สงครามเย็น” (Cold War)จึงน่าจะมีความหมายมาจากคำ “เลือดเย็น” (Cold Blood) นั่นแหละกระมัง
คือ “มีใจเหี้ยมสามารถทำลายชีวิตหรือชื่อเสียงผู้อื่นได้โดยไม่รู้สึกหวั่นไหว เช่น ฆ่าอย่างเลือดเย็น”(พจนานุกรมไทยฉบับราชบัณฑิตฯ) ที่ภาษาอังกฤษใช้ว่า “brutality” นั่นละ!
ที่น่ากลัวที่สุดของ “สงครามเย็น” ก็คือ “สงครามตัวแทน” (proxy War) ที่ว่าน่ากลัวก็เพราะว่า มหาอำนาจทั้ง 2 ฝ่ายได้นำหลักการทางรัฐศาสตร์คลาสสิกโบราณที่เรียกกันแบบชินหูว่า “แบ่งแยกแล้วปกครอง” (Divide and Rule)นั่นแหละมาใช้!
คือยุแยงตะแคงรั่ว (โดย “อกุศโลบาย” ทุกวิธี) ทำให้ประเทศที่ไม่เคยมีปัญหาต้องเกิดปัญหาต่อกัน ท้ายที่สุดก็เกิดความขัดแย้งไม่คบกัน และอาจถึงขั้นต้องเปิดสงครามฆ่าฟันกัน สูญเสียทั้งชีวิตราษฎร ทรัพย์สิน และโอกาสในการพัฒนาประเทศให้คนในบ้านเมืองได้อยู่เย็นเป็นสุข
ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ การเข้าไปแทรกแซงประเทศใดประเทศหนึ่ง โดยวิธีใดวิธีหนึ่ง และทำให้คนในประเทศนั้นๆเกิดแบ่งแยกเป็น 2 ฝัก 2 ฝ่ายแล้วฆ่ากันเอง (โดยมีมหาอำนาจหนุนหลัง)!
ตัวอย่างสงครามตัวแทนแบบหลัง คือมีมหาอำนาจเข้าไปแทรกแซงประเทศนั้นๆจนก่อให้เกิดการแตกแยกภายในแล้วผู้คนในประเทศต้องรบราฆ่าฟันกันเองนั้น เริ่มมีมาตั้งแต่ยังไม่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 โน่นแล้ว!
มีตัวอย่างให้เห็นมากมาย ในยุโรปก็เช่นเยอรมนี(แบ่งเป็นตะวันตก-ตะวันออก)ในเอซียเราก็เช่น เวียดนาม(แบ่งเป็นเหนือ-ใต้) และในเกาหลี(แบ่งเป็นเหนือ-ใต้)
ความน่าอเนจอนาถในการฆ่ากันเองของพี่น้องชาวเวียดนามเหนือ-ใต้ ที่มีประเทศไทยเรา ยุคที่ตกอยู่ภายใต้ผู้นำที่สมาทานผลประโยชน์ตนเป็นที่ตั้ง จนเลือกเดินตามก้นมหาอำนาจสหรัฐอเมริกาอย่างไม่รู้จำแนกแยกแยะบุญบาป(ทั้งที่ประกาศตนว่าเป็น “ชาวพุทธ”)
โดยส่งกองกำลังทหารเข้าร่วมรบ(ภายใต้กฎหมายที่เรียกว่า “สนธิสัญญา” ที่เกิดจากอำนาจเถื่อน) ทั้งยังยินยอมสูญเสีย “บูรณภาพเหนือดินแดน” ให้ประเทศไทยกลายเป็นที่ตั้งฐานทัพของสหรัฐอเมริกาเพื่อส่งเครื่องบินบรรทุกทหารและระเบิดไปถล่มโจมตีเวียดนามอย่างโหดร้ายบ้าคลั่ง
กว่าประเทศเวียดนามจะสามารถ “ปลดแอก” สร้างเอกภาพของประเทศกลับคืนได้ ผู้คนในประเทศนั้นต้องบ้านแตกสาแหรกขาดและสูญหายล้มตายจากการ “ฆ่ากันเอง” (โดยมีสหรัฐอเมริกากับบรรดามิตรประเทศของเขา โดยเฉพาะประเทศไทยเข้าไปร่วม “ฆ่า” ด้วย) ไปแบบ “เลือดนองท้องช้าง” อย่างที่ใครซึ่งติดตามศึกษาประวัติศาสตร์เวียดนามและประวัติศาสตร์ไทยระยะใกล้ย่อมจะรู้ๆกัน!
ส่วนเกาหลีนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง เพราะเมื่อถึงวันนี้ “ภาวะสงคราม” ระหว่างเกาหลีเหนือของ “เฮียคิม” กับเกาหลีใต้(ภายใต้ร่มเงาของสหรัฐอเมริกา)ก็ยังฮึ่มพร้อมที่จะสาดอาวุธและนิวเคลียส์ใส่พี่น้องร่วมชาติเดียวกันอยู่เลยหรือใครในประเทศนี้จะไม่รู้บ้าง นั่นละผลของสิ่งที่เรียกว่า “พร็อกซี้ วอร์” !!