ทวี สุรฤทธิกุล

ใกล้ปีใหม่ หมอดูหลายสำนักบอกว่าปีหน้า 2568 จะมีการเปลี่ยนแปลงใหญ่มาก ๆ หลายเรื่อง

มีหมอดูสำนักหนึ่งบอกว่าไม่เกินกลางปี 2568 คือราว ๆ เดือนพฤษภาคมหรือมิถุนายน ระบอบทักษิณจะสิ้นสุด!

แน่นอนว่าคุณหมอดูคนนี้ก็ให้เหตุผลและคำอธิบายตามความรู้ที่ได้เรียนมาในวิชาชีพของเขา คือเรื่องของดวงดาวและปูมโหรต่าง ๆ ซึ่งคนทั่ว ๆ ไปอาจจะล่วงรู้ได้ไม่เหมือนเขา ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับความเชื่อของแต่ละคน แต่สำหรับผู้เขียนแล้วเชื่อมาก ๆ เพราะใจมันอยากให้เป็นจริงเช่นนั้น

เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา มีสื่อออนไลน์ช่องหนึ่งถามผู้เขียนในการสัมภาษณ์ว่า “ปีหน้านี้รัฐบาลอุ๊งอิ๊งจะไปรอดไหม?” สำหรับคนที่รำคาญรัฐบาลชุดนี้ก็แน่นอนที่จะต้องตอบว่า “ไม่รอด!”

แต่เมื่อผู้เขียนอยู่ในแวดวงวิชาการ ก็ต้องหาเหตุผลและอธิบายด้วย “หลักวิชา” ว่า ทำไมจึงไม่รอด ดังเหตุผลและข้ออธิบายต่อไปนี้

ประการแรก รัฐบาลชุดนี้ตั้งขึ้นด้วยกระบวนการ “คลุมถุงชน” คือพรรคต่าง ๆ ที่มารวมกันไม่ได้ชอบขี้หน้าหรือความสามัคคี “รักชอบ” แนบแน่นกันเท่าใดนัก รวมทั้งมีปัจจัยที่คอย “เซาะกร่อนบ่อนทำลาย” อยู่มาก ทั้งข้อร้องเรียนต่าง ๆ ที่รอการพิจารณาอยู่นับสิบเรื่องของนายกรัฐมนตรีและ “บิดา” ก็อาจจะส่งผลต่อรัฐบาลนี้ได้มาก ดังที่นายกรัฐมนตรีคนก่อน คือนายเศรษฐา ทวีสิน ก็ “มีอันเป็นไป” ไปแล้ว โดยข้อร้องเรียนที่น่าลุ้นที่สุดก็คือกรณี “ป่วยทิพย์” ของนักโทษชายที่เป็นบิดาของนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันนี้ เพราะจะต้องมีรัฐมนตรีที่จะต้องรับผิดชอบอย่างน้อย 2-3 คน รวมถึงตัวนายกรัฐมนตรีนั้นด้วย โดยมีข่าวว่าเพื่อไม่ให้นายกรัฐมนตรี “มีอันเป็นไป” อีกคน รัฐบาลอาจจะให้นายกรัฐมนตรีใช้อำนาจยุบสภา แล้วเลือกตั้งใหม่ ซึ่งรัฐบาลน่าจะยังได้เปรียบ เพราะคู่ต่อสู้ดูยังไม่พร้อมเท่าใดนัก

ประการต่อมา กระแสมวลชนกำลังเกิดการเรียนรู้และพร้อมก่อตัวที่ “ขับไล่ - ล้มล้าง” ตัวนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลนี้เมื่อใดก็ได้ เช่น กรณี MOU – 44 และนโยบายหลาย ๆ เรื่องที่รัฐบาลทำไม่ได้ โดยในกรณี MOU – 44 ก็ได้มีการยื่น “คำขาด” ของแกนนำกลุ่ม ที่จะให้รัฐบาลยกเลิกเสียให้เด็ดขาด เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยให้เวลารัฐบาล 15 วันที่จะตัดสินใจยกเลิก มิฉะนั้นก็จะมีการนำม็อบลงท้องถนน แบบที่เคยเกิดขึ้นสมัยปี 2548 และ 2549 นั้นก็ได้ ส่วนในเรื่องนโยบายที่รัฐบาลยังทำไม่ได้ ก็คือการแจกเงินดิจิตอล ที่พยายามหย่อนเบ็ดล่อเหยื่อว่าจะทำให้กับกลุ่มโน้นกลุ่มนี้ แต่ก็คาดว่าจะทำได้ไม่ทั่วถึง และอาจจะล้มเลิกกลางคัน ทั้งนี้นอกจากเงินจะมีไม่พอแล้ว ก็ยังอาจจะผิดกฎหมาย และติดคุกกันทั้งรัฐบาลก็ได้ ดังนั้นประชาชนจำนวนมากก็จะรู้สึกผิดหวังกับรัฐบาลนี้ เมื่อมีเชื้อไฟในการประท้วงต่อต้านรัฐบาลขึ้นแล้ว คนกลุ่มนี้ที่น่าจะเป็นคนกลุ่มใหญ่ของประเทศก็อาจจะเข้ามาสุมไฟให้รุนแรงขึ้นอีก แม้อาจจะไม่ใช่การเดินขบวนใหญ่ทั่วประเทศ แต่ด้วยอานุภาพของโซเชียลมีเดียก็อาจจะทำให้รัฐบาลนี้เป็นง่อยไปในทันที

อีกประการหนึ่ง การก่อตัวของ “กระแสประชาธิปไตยใหม่” ผ่านกลุ่มการเมืองของคนรุ่นใหม่ ที่กำลังเพิ่มเป้าหมายไม่ใช่แค่เปลี่ยนแปลงรัฐบาล แต่ต้องการเปลี่ยน “โครงสร้างหลัก” ของการเมืองไทยบางอย่างอีกด้วย แม้หลายคนจะยังเชื่ออยู่ว่า ประเทศไทยยังต้องปกครองด้วยกระแสอนุรักษ์นิยมนี้ต่อไป แต่ก็น่ากลัวว่าจะไม่ยั่งยืน ทั้งนี้เราจะต้องยอมรับว่าในช่วงตั้งแต่หลังรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 ที่หลายคนมองว่าเป็นการ “ตื่นขึ้น” ของกระแสอนุรักษ์ ที่มองจากการชื่นชมและเชียร์ทหาร เช่น กระแสรักลุงตู่ เป็นต้น ก็ยังถูก “เซาะกร่อนบ่อนทำลาย” (คำนี้ที่ศาลรัฐธรรมนูญใช้ยุบพรรคก้าวไกล ได้กลายเป็น คำเสียดสียอดนิยมในฝ่ายประชาธิปไตยใหม่ไปแล้ว) ดังจะเห็นได้จากผลการเลือกตั้งทั้งสองครั้งที่ผ่านมา (2562 และ 2566) คะแนนเสียงในฝ่ายประชาธิปไตย(ที่ปัจจุบันได้ยกระดับเป็น “ประชาธิปไตยใหม่”)ยิ่งมีแต่จะเพิ่มขึ้น ในขณะที่พรรคในแนวอนุรักษ์(หรือแม้แต่ “ประชาธิปไตยเก่า” แบบพรรคเพื่อไทย)ก็มี “รายรับ” ลดลง จากการคอร์รัปชั่นที่ทำได้ยากขึ้น อันเนื่องมาจากไม่สามารถขับเคลื่อนนโยบาย “อภิมหาโปรเจคต์” ต่าง ๆ ได้สำเร็จ รวมทั้งกระบวนการ “ตาสับปะรด” ในโลกสื่อสารสมัยใหม่ที่คอยจับจ้องไม่ให้นักการเมืองแบบเก่าหากินได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ (กรณีการยิงกันของนักการเมืองท้องถิ่นที่จังหวัดปราจีนบุรีเมื่อวันสองวันนี้ เป็นสัญญาณหนึ่งของ “ความเสื่อม” ในการเมืองเก่าที่จะไม่มีอิทธิพลให้ประชาชนเกรงกลัวได้ดังเดิม)

ที่น่าสังเกตมาก ๆ ก็คือ “นช.หน้าเหลี่ยม” (ผู้เขียนยังเชื่อว่าจะต้องมีคนกลับมาติดคุกจริง ๆ จนได้ จึงยังเรียกว่า นช.หรือนักโทษชาย เว้นแต่ “มัน” คิดจะหนีออกนอกประเทศอีก ซึ่งก็เชิญเลือกไปผุดไปเกิดเอาตามใจเถิด)ยังใช้การทำงานการเมืองแบบเดิม ๆ คือเน้นการใช้อิทธิพลในพื้นที่ ด้วยการส่ง “บ้านใหญ่” หรือนักการเมืองเจ้าถิ่นที่ครองอำนาจในพื้นที่มานาน ในขณะที่การเมืองสมัยใหม่อย่างที่พรรคประชาชนใช้ จะใช้ “รีสอร์ต” คือนักการเมืองในรูปแบบที่ทันสมัย (อาจจะไม่ใช่คนหนุ่มสาวทั้งหมด แต่ผสมด้วยคนที่มีอาวุโสแต่อายุไม่มากนัก แล้วไปเน้นไอเดียหรือคอนเซ็ปต์ในการหาเสียงให้โดนใจ) การสร้างประเด็นที่ตรงใจกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เป็นเป้าหมาย พร้อมกับสร้างข้อเปรียบเทียบกับแนวคิดเก่าและสถาบันเก่า ๆ เพื่อให้เห็นความแตกต่างของ “ความใหม่” กับ “ความเก่า” นั้นให้ชัดเจน

หลายคนกลัวว่าแนวคิด “ใหม่ล้างเก่า” ของนักการเมืองกลุ่มนี้จะมาทำลายโครงสร้างสถาบันทางการเมืองเดิม ๆ โดยเฉพาะสถาบันพระมหากษัตริย์และระบบราชการ(โดยตรงคือทหาร) แต่ผู้เขียนทราบมาว่าคนพวกนี้กำลังเปลี่ยนยุทธวิธีรวมถึงปรับเป้าหมาย ให้ดูนุ่มนวลขึ้นและน่ากลัวน้อยลง (ในรายละเอียดจะได้นำมาเสนอต่อไป) โดยเป็นไปได้ว่ามีความพยายามที่จะแย่งชิงมวลชนจากฝ่ายอนุรักษ์ โดยคนพวกนี้มองว่ามวลชนกำลังผิดหวังและหมดความเชื่อถือในผู้นำของฝ่ายอนุรักษ์ โดยเฉพาะทหารที่ไม่ได้ขัดขวางการ “ขึ้นมาใหญ่อีกครั้ง” ของ “อสูรหน้าเหลี่ยม” ที่จะพิสูจน์ด้วยการเลือกตั้งครั้งที่กำลังจะมาถึง

ทางรอดของประเทศไทยในตอนนี้คือให้ “ระบอบชั่ว” ของอสูรหน้าเหลี่ยมหมดไปเสียก่อน ส่วนระบอบใหม่ที่จะเข้ามาแทนที่ก็ต้องคอยรับมือต่อไป  ซึ่งคนไทยและสังคมไทยน่าจะรับได้ไม่ยาก

ผู้หลักผู้ใหญ่ท่านสอนไว้ ถ้าอยากจะช่วยชาติบ้านเมือง เรามาศึกษาและหาทางช่วยกันต่อไป