สถาพร ศรีสัจจัง
ข้อสรุปเกี่ยวกับ “การปฏิวัติอุตสาหกรรม” ของศาสตราจารย์ ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์ นักคิดร่วมสมัยคนสำคัญของไทยผู้เพิ่งวายชนม์ ที่ว่า “…ผมขอชี้ให้เห็นว่า แม้แต่เงื่อนไขทางสังคมที่ทำให้สังคมอังกฤษพร้อมจะเริ่มปฏิวัติอุตสาหกรรม(ครั้งที่ 1ผู้เขียน) ก็ยังไม่เกิดในประเทศไทย ถึงที่เกิดแล้วก็มีลักษณะบิดเบี้ยว จนไม่เป็นพลังขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสมัยใหม่ได้…”
ตอบคำถามและชี้ชัดอะไรเกี่ยวกับสังคมไทยวันนี้บ้าง?
อย่างน้อยก็เป็นการ “ตั้งคำถาม” (และอาจจะเป็นคำถามทำนอง “ตบหน้าฉาดใหญ่”)ต่อบรรดา “ชนชั้นนำ” ผู้สถาปนา “ระบบการปกครองไทย” และ “ระบบเศรษฐกิจไทย” ในรอบ 9 ทศวรรษ (ตั้งแต่เปลี่ยนแปลงระบบการปกครองมาตั้งแต่ พ.ศ.2475) ได้ระดับหนึ่งว่า :
ใช่พวกคุณรึเปล่า?ที่มีส่วนอย่างสำคัญในการทำให้ประเทศ “สยาม” ในอดีตหรือ “ไทยแลนด์” ในปัจจุบัน ตามไม่ทัน “กงล้อประวัติศาสตร์” ของมนุษยชาติยุค “ทุนนิยม” ที่กำลังขับเคลื่อนไปข้างหน้าแบบไม่รั้งรอใคร ทั้งยังพร้อมจะบดขยี้สังคมใดก็ตามที่ “ตกยุคประวัติศาสตร์” เพราะ “ผู้นำชาติ” (และประชาชน?)ไร้ปัญญาความสามารถที่จะ “ตามทันโลก”!
การไม่สามารถตามทันการปฏิวัติอุตสาหกรรมอย่างที่อาจารย์นิธิสรุปไว้หรือเปล่า ที่มีส่วนอย่างสำคัญ ในการทำให้สังคมไทยวันนี้ต้องตกอยู่ในสภาพ “ซื้อแพงขายถูก” มาโดยตลอด จนทำให้สังคมต้องตกอยู่ในสภาพ “หนี้สินท่วมชาติ หนี้ราษฎร์ท่วมเมือง” อย่างที่กำลังเป็นอยู่ทุกวันนี้
เพราะตลอดช่วงเวลาแห่งการนำระบบ “ทุนนิยมเสรี” เข้ามาใช้ “พัฒนาประเทศ” ในนามของ “แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ” ตั้งแต่แผนระยะที่ 1 ซึ่งเกิดขึ้นในปีพ.ศ.2504 โดยแบ่งแผนดังกล่าวเป็น 2 ระยะ คือระยะที่ 1 จากปี 2504-2507 และระยะที่ 2 จากปี 2507-2509
จนถึงปัจจุบันที่กำลังอยู่ในแผนระยะที่ 13 (เริ่มจากพ.ศ.2566-2570)
“13 แผน” ด้วยช่วงเวลากว่า 60 ปี!
สังคมไทยมีปรากฏการณ์อะไรเกิดขึ้นกับสภาพ “เศรษฐกิจ-สังคม” บ้าง?(ต้องถือว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในรอบกว่า 60 ปีดังกล่าว เป็นผลโดยตรงจากสิ่งที่ชนชั้นปกครองและชนชั้นนำของสังคมไทยเรียกว่า “แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ”โดยแท้จริงแบบปฏิเสธไม่ได้!)
ที่สามารถสรุปได้(แบบชาวบ้าน)อย่างเป็นรูปธรรมชัดๆ(แบบเห็นๆ) ก็เช่น :
ทรัพยากรสำคัญๆของประเทศแทบจะย่อยยับหมดสิ้น จากระบบเศรษฐกิจแบบ “ซื้อแพงขายถูก” (เพราะไม่ผ่านการปฏิวัติอุตสาหกรรมอย่างแท้จริงเหมือนดังอาจารย์นิธิฯว่า) ได้แก่ การขายวัตถุดิบธรรมชาติที่มีมากในประเทศ เช่น แร่ธาตุ(เริ่มจากดีบุกเป็นหลักแล้วตามด้วยแร่ธาตุอื่นๆแทบทุกชนิด (แถมด้วยแร่กัมมันตภาพรังสีในรูปแบบสินแร่อื่นราคาถูกเช่นการขายแร่โมนาไซต์ที่มีสินแร่ “ทอเรียม” ผสมอยู่ด้วย เป็นต้น) นอกจากนั้นก็เป็นที่รู้ๆกัน เช่น การขายไม้(แบบทำลายป่า) ไม้สักนั้นหมดไปก่อน แล้วจึงตามด้วยไม้อื่นๆ(อย่างไม้พะยูง/และไม้เนื้อแข็งคุณภาพสูงอื่นๆแม้ในยุค “ไม่มีสัมปทานป่าไม้” อย่างปัจจุบันก็เถอะ!)
เพื่อไปซื้อสินค้าแพงๆจากแรงกระตุ้นของสังคมบริโภคนิยมแบบทุนนิยมจากประเทศ “อุตสาหกรรม” ทั้งหลาย!
ป่าที่เคยอุดมสมบูรณ์ก็เริ่มหมดไปพร้อมๆกับการส่งเสริมให้ราษฎร “ปลูกพืชเชิงเดี่ยว” เพื่อป้อนเป็นสินค้าตาม “ออร์เดอร์” ของตลาดโลก ไม่ว่าจะเป็นข้าว ยางพารา มันสัมปะหลังปาล์มน้ำมัน และ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เป็นต้น
เกิดป่าสูญดินเสื่อม น้ำแล้ง-น้ำท่วม-น้ำเสีย จนเกิดหายนะแบบไม่มีทางแก้ และกลายเป็นอาหารอันโอชะในการหาเสียงแบบเพ้อเจ้อขายฝันโกหกมดเท็จแบบหน้าด้านๆของบรรดา “นักกินเมือง” ยุคปัจจุบันทั้งหลายอยู่โทงๆ!(แบบเเห็นๆมาอย่างยาวนาน555)
ทรัพยากรการประมงทั้งน้ำจืด-น้ำทะเล ก็ล่มสลาย เพราะส่งเสริมการประมงแบบล้างผลาญ(ไร้แผนการ ไร้ความเข้มงวดในการใช้กฎหมายของเจ้าหน้าที่ และฯลฯ)มาโดยตลอด จนถูกต่อต้านโจมตีจากบรรดาชาติพัฒนาแล้ว พอเริ่มจะหันมาจัดการตามคำขู่ของมหาอำนาจ(ซึ่งอาจจะช่วยทำให้สถานการณ์ดีขึ้นบ้าง)ก็พบว่าตกอยู่ในสภาพ “สายเสียแล้ว” !555
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติทั้ง 13 แผนในรอบกว่า 60 ปี นอกจากจะทำให้ทรัพยากรสูญหาย ทำให้สิ่งแวดล้อมเสื่อมทรุดแทบทุกด้าน ทั้งดิน น้ำ อากาศ และพืชพรรณธัญญาหารทั้งหลายแล้ว
ที่ชัดเจนยิ่งไปกว่านั้นก็คือการเกิด “ความเหลื่อมล้ำทางสังคม” และ “ปัญหาสังคมเน่าเหม็นชั่วร้าย” ที่ลามกระจายไปทั่วแทบทุกหย่อมหญ้า!
ลองประเมินดูกันเองเถิด ว่าคนที่มั่งคั่งร่ำรวยในประเทศนี้ นอกจากกลุ่มพ่อค้าและกลุ่มนักการเมืองไม่กี่ร้อยตระกูลแล้ว มีคนไทยบ้านไหน ตระกูลไหน หรือคนไหน สักกี่คนกี่บ้านกี่ตระกูลที่ไม่เป็นหนี้ ที่มีความยั่งยืนและมั่นคงในการดำรงชีวิตอย่างปีติสุข?
หรือใครยังไม่เห็นปัญหาอาชญากรรมในสังคมนี้ ปัญหาคนไร้บ้านเด็กเร่ร่อนจรจัด ปัญหาโสเภณี ปัญหาคนบ้าคลั่งการพนัน ปัญหาการฉ้อฉลกังฉินกินหัวรายวัน ฯลฯ
หรือจะยังไม่เห็นกันจริงๆว่า-เมื่อถึงวันนี้ที่สังคมโลกกำลังลุสู่ยุคการพัฒนาอุตสาหกรรมขั้นที่ 4 เข้าไปแล้วนั้น สังคมไทยกำลังร่วมยุค “เงินเป็นใหญ่-กำไรสูงสุด” กับชาวโลกอยู่ในลักษณะไหน?
หรือจะไม่ใช่ตกอยู่ในสภาพ กำลังล่มสลายท่ามกลางความเน่าเฟะทางสังคม(จนน่าจะยากเยียวยา!)อย่างที่นักคิดนักพยากรณ์ทางสังคมบางคนเขาว่ากัน?