ทวี สุรฤทธิกุล
อย่ากลัวว่า “นายกฯอ่อนทุกอย่าง” จะพาไทยไปไม่รอด เพราะที่จะไม่รอดก็คือตัวนายกฯนั่นเอง
เริ่มเรื่องขออนุญาตเล่าเรื่องเก่าสักนิด เพราะอยากจะเชื่อมโยงให้เห็นว่า ประเทศไทยในยุคสมัยใหม่นี้ “ล่อแหลม” กับการที่จะ “ล่มสลาย” มาหลายครั้ง อย่างเช่นกรณีกบฏ 1 - 3 เมษายน 2524 แต่เป็นเพราะมี “อะไรบางอย่าง” จึงทำให้ประเทศไทยนั้นอยู่รอดมาได้ ในทำนองเดียวกันกับในเวลานี้ ที่เราก็อยู่ในภาวะ “น่ากลัวจะฉิบหาย” ภายใต้การบริหารของ “นายกฯอ่อนทุกอย่าง” แต่ก็ควรจะเชื่อมั่นกันให้ได้ว่า ประเทศไทยยังจะอยู่รอดได้ต่อไป ด้วย “อะไรบางอย่าง” ที่จะนำเสนอต่อไป
ผู้เขียนขอไม่ลงรายละเอียดว่ากบฏ 1 - 3 เมษายน 2524 ใครทะเลาะกับใคร เรื่องราวลุกลามเป็นไปอย่างไร กระทั่งจบลงอย่างไร เพียงแต่จะขอตัดตอนมาว่า ภายหลังเหตุการณ์กบฏในครั้งนั้น คนไทยยังหวาดหวั่นอยู่มากในเรื่องความปลอดภัยของพระมหากษัตริย์ เพราะมีการปล่อยข่าวว่าในหลวงรัชกาลที่ 9 “ทรงเลือกข้าง” รวมถึงที่มีการแย่งชิงพระมหากษัตริย์กันในกรณีความรุนแรงที่เกิดขึ้นครั้งนั้น แม้ว่าที่สุดแล้วพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์จะปลอดภัย แต่สังคมไทยก็บอบช้ำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะความไม่มั่นคงที่อาจจะเกิดกับสถาบันพระมหากษัตริย์นั้นได้อีกทุกเมื่อ
ท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นอีกคนหนึ่งที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากเหตุการณ์ดังกล่าว โดยในเช้าวันที่ 1 เมษายน 2524 ได้มีโทรศัพท์มาที่บ้านพักในซอยสวนพลูว่า ขอให้ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์รีบเดินทางออกจากบ้านโดยด่วน เพราะอาจจะมีคนมาควบคุมตัวท่าน พ่อบ้านที่รับสายมาบอกผู้เขียน(ที่ตอนนั้นทำงานเป็นเลขานุการของท่านและมีห้องพักอยู่ข้างเรือนไทยที่พักของท่าน) แล้วให้ขึ้นไปบอกท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ที่บนห้องนอน โดยให้เบอร์โทรกลับไว้ แจ้งชื่อว่าเป็นพลโทในกองทัพบก ภายใต้การบัญชาการของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น
ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ลงมาข้างล่างทั้งชุดนอน (สมัยนั้นยังไม่มีโทรศัพท์มือถือ จะมีก็แต่โทรศัพท์แบบเครื่องพ่วง ซึ่งที่บ้านสวนพลูเจ้าของบ้านก็ยังไม่ให้มี เพราะความที่ท่านเป็นคนป๊อบปูล่าร์มาก ถ้าขืนให้เอาโทรศัพท์เข้าไปไว้ในห้องนอน คงไม่ต้องหลับนอนอะไรเลยทั้งคืน) รีบโทรศัพท์กลับไปยังเบอร์ดังกล่าว เมื่อแน่ใจและทราบเรื่องราวอย่างแน่ชัดแล้ว ท่านก็บอกกับพ่อบ้านว่าให้เตรียมรถและข้าวของเฉพาะที่จำเป็น ถ้าพร้อมแล้วให้มาบอกท่าน แล้วท่านก็ขึ้นไป “บอกหมา” คือพูดกับหมาคู่ใจสองตัว “สามสีกับเสือใบ” ว่า “เกิดมาก็ไม่เคยทำบาปทำกรรมอะไร วันดีคืนดีก็ต้องกลายมาเป็นลาวอพยพ เดี๋ยวเราขึ้นไปอยู่เชียงใหม่ด้วยกันนะ”
พวกเราคือท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ พ่อบ้านกับเด็กรับใช้ คนขับรถและผู้เขียน กับหมาอีก 2 ตัว รวม 7 ชีวิต ขึ้นรถตู้ออกจากบ้านสวนพลูตอนเกือบสองโมงเช้า ทานขนมปังปิ้งกับกาแฟบนรถเป็นอาหารเช้า พอเที่ยงแวะทานกลางวันที่ร้านอาหารในปั๊มน้ำมันเจ้าประจำที่คลองขลุง ก่อนถึงตัวเมืองกำแพงเพชร (ตอนนั้นท่านอาจารย์คึกฤทธิ์กำลังสร้างบ้านพักที่ริมแม่น้ำปิง นอกตัวเมืองเชียงใหม่ จึงขึ้นล่องมาดูการก่อสร้างอยู่ตลอด และมีกำหนดการที่จะขึ้นบ้านใหม่ในช่วงวันเกิด 20 เมษายน พ.ศ. 2524 นั้นอยู่พอดี) จากนั้นก็เดินทางต่อไปจนถึงเชียงใหม่ประมาณ 5 โมงเย็น ตอนนั้นที่บ้านริมปิงของท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ยังไม่มีโทรศัพท์ รุ่งขึ้นจึงเดินทางไปที่ศาลากลางแล้วใช้โทรศัพท์ในห้องผู้ว่าราชการจังหวัด เพื่อรายงานกับพลเอกเปรมว่าท่านปลอดภัย ท่านอยู่บ้านหลังใหม่จนขึ้นบ้านใหม่ในวันเกิดของท่านแล้ว จึงได้กลับมายังบ้านสวนพลู ซึ่งเหตุการณ์กบฏก็สงบไปแล้ว
ความสงบที่เกิดขึ้นมีหลายคนบอกว่าเป็นเพราะ “พระเดชานุภาพ” ของพระมหากษัตริย์ แต่พอมีคนมาถามท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ในประเด็นเดียวกันนี้ ท่านกลับตอบว่าไม่ใช่พระบรมเดชานุภาพอย่างแน่นอน เพราะบรมบรมเดชานุภาพหมายถึงการใช้กำลังในการรบ เช่น พระนเรศวรรบกับพม่า หรือพระเจ้าตากทรงกอบกู้เอกราช อย่างนี้เป็นต้น แต่นี่เป็นด้วย “พระมหากรุณาธิคุณ” โดยแท้ คือความกรุณาที่ทรงมีต่อบรรดานายทหารน้อยใหญ่ โดยมิได้ทรงขัดขืน เพราะหากทรงสั่งให้ทหารฝ่ายใดออกสู้รบแล้ว ทหารก็คงไม่ขัดขืน แต่ก็จะมีการนองเลือด และจะมีทั้งทหารกับคนไทยที่ต้องล้มตายเป็นจำนวนมาก การที่สังคมไทยเกิดความสงบสุข ไม่มีการรบราฆ่าฟันกัน จึงเป็นด้วย “พระมหากรุณาธิคุณ” โดยแท้
หลานท่านคงจำได้หรือได้อ่านเกี่ยวกับเหตุการณ์ “วันมหาวิปโยค” 14 ตุลาคม 2516 แม้ในเหตุการณ์จะมีความรุนแรงมาก มีผู้เสียชีวิตนับร้อย และมีการเผาบ้านเผาเมือง เช่นเดียวกันกับ 6 ตุลาคม 2519 และพฤษภาคมทมิฬ 2535 ที่ก็สงบลงด้วย “พระมหากรุณาธิคุณ” นั้นเช่นกัน แต่นั่นแทนที่ผู้นำในฟากฝ่ายต่าง ๆ จะ “สำเหนียก” หรือระลึกรู้ถึงพระมหากรุณาธิคุณดังกล่าว แต่กลับมองพระมหากรุณาธิคุณนั้นเป็นเหมือน “รางวัลปลอบใจ” เมื่อทำผิดแล้วไม่สำนึกผิด ก็ยิ่งคิดเห่อเหิม หลงอำนาจ และกลับมาทำผิดซ้ำอีก
ผู้เขียนกำลังจะนำท่านผู้อ่านเข้ามาสู่ยุคระบอบทักษิณ อันเป็นยุคที่นักการเมือง “ลืมเท้า” คนหนึ่ง ที่ลืมว่าแผ่นดินที่ตนเองได้มายืนเหยียบอยู่นี้ ก่อขึ้นและปูแผ่ผนึกแน่นด้วยการปกครองของผู้ใด เพราะผู้นำ “หน้าเหลี่ยม” คนนี้คิดว่าตนเองสามารถซื้อทั้งทหารตำรวจ ข้าราชการ และนักการเมืองไว้ทั้งหมดแล้ว จึงคิดเหิมเกริมว่าตนเองยิ่งใหญ่เหนือผู้ใด แม้กระทั่งบัดนี้ ที่ “มัน” ก็ยังกลับมาด้วยความยิ่งใหญ่ และกระทำตนอย่างยิ่งใหญ่ดังเดิม(หรืออาจจะยิ่งกว่าเดิม) บนแผ่นดินที่เปลี่ยนรัชกาลใหม่ แต่ “มัน” ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร ที่อาจจะเป็นได้ว่า “มัน” ยังไม่ได้ “สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ” นั้นก็เป็นได้
ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ยังพูดถึงเหตุการณ์กบฏ 1 - 3 เมษายน 2524 ไว้อีกประโยคหนึ่งว่า “ใครที่ไม่สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณจะต้องมีอันเป็นไป” ซึ่งต่อจากนั้นกองทัพในยุคต่อมาก็เกิดความแตกแยกหนักขึ้น เกิดกบฏอีกครั้งหนึ่งในวันที่ 9 กันยายน 2529 ก่อนหน้านี้พลเอกเปรมก็ถูกลอบสังหารถึง 2 ครั้ง และต้องปฏิเสธตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหลังการเลือกตั้ง 2531 พอถึงปี 2534 ก็เกิดการรัฐประหารอีก ทหารเพิ่งจะมา “กลมเกลียว” กันได้อีกครั้งก็ในคราวที่มีการรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 นี่เอง แต่มาถึง พ.ศ.นี้ก็ที่ “ทายาทอสูร” ได้ครองเมือง โดย “พรรคใต้เงาอสูร” ยังครองกระทรวงกลาโหมอีกด้วย ก็ไม่แน่ใจว่า “จะมีอันเป็นไป” เกิดขึ้นแก่บ้านเมืองนี้อะไรต่อไปอย่างไรหรือไม่?
“ไอ ๆ อิ ๆ” ที่แกล้งหลงลืมเรื่องเก่า ๆ (หรือเป็นด้วยความโง่เง่าไม่เรียนรู้) จงสำเหนียกไว้ ว่าคงจะระเริงไปแบบนี้ได้อีกไม่นาน !