สถาพร ศรีสัจจัง

การปฏิวัติอุตสาหกรรมนั้นเรื่มต้นที่ “อุตสาหกรรมเกษตร” โดยการโละทิ้ง “การเกษตรกรรมแบบเก่า” ที่ใช้แรงงานคนและเครื่องจักรแบบดั้งเดิมไว้เบื้องหลัง มีนักวิชาการบางกลุ่มได้ตั้งข้อสังเกตที่สำคัญๆไว้หลายเรื่อง  สรุปได้ว่า การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งแรกนั้นเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 250 ปีก่อน ส่วนครั้งที่สองเกิดขึ้นเมื่อสักประมาณ 150 ปีก่อน แล้วจึงเกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 3 ขึ้นในอีกราว 100 ปีต่อมา

แต่การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 กลับเกิดขึ้นห่างจากเวลาปัจจุบัน (พ.ศ.2567) น่าจะไม่ถึง 50 ปีเท่านั้นเอง                                               

แล้วการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 (ที่กำลังเป็นอยู่ในปัจจุบัน)โดยฝีมือของ “มนุษย์” ที่สืบเชื้อสายมาจากสปีชีส์ “เซเปียนส์” เมื่อนานมาแล้วนั้น ได้ก่อเกิดอะไรขึ้นกับ “โลก” ที่พวกเขาอยู่อาศัยร่วมกับสปีชีส์อื่นๆมาอย่างยาวนานบ้าง?                                                

เรื่องนี้คงต้องค่อยว่ากันในตอนหลัง ตอนนี้เรามาดูกันสักหน่อยก่อนว่า “การปฏิวัติอุตสาหกรรมยุคที่ 4” หรือที่บรรดานักวิชาการมักจะเรียกกันว่า “อุตสาหกรรม 4.0” (Industrial 4.0) นั้นคืออะไรและเป็นแบบไหนกันแน่!                  

ประมวลสรุปตามคำของนักวิชาการที่เกี่ยวข้องกับศาสตร์ด้านนี้โดยตรงเป็นถ้อยความได้ “ประมาณ” ว่า :

คือ “การนำเทคโนโลยีดิจิทัล” เข้ามาผสมกับโลกการผลิต เชื่อมโยงเครื่องข่ายในรูปแบบ “อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง” (Internet of things-IoT) รวมไปถึงการใช้งานระบบ “ปัญญาประดิษฐ์” (Artificial Intelligence-AI) และ “จักรกลการเรียนรู้” (Machin Learning-ML) ทำให้เกิดการผลิตระบบอัตโนมัติที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น เครื่องจักรสามารถวิเคราะห์ปัญหาและแก้ไขปัญหาเองได้ โดยปราศจากการแทรกแซงจากมนุษย์…การปฏิวัติอุตสาหกรรมที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ จะเป็นการเปลี่ยนแปลงโลกครั้งใหญ่ อย่างที่กล่าวได้ว่า โลกจะพลิกจากหลังมือไปหน้ามือ ทั้งในแง่ของขนาด ความเร็ว และขอบเขต การปฏิวัติครั้งนี้โลกจะก้าวเร็วขึ้นแบบทวีคูณ…” (ที่มา:https://www.facebook.com/valuewaynjr/)

ในสถานการณ์ที่สังคมโลกโดยเฉพาะโลกตะวันตกอย่างสหรัฐอเมริกาและยุโรปและเอเชียบางประเทศ เช่น สาธารณรัฐประชาชนจีน สิงคโปร์ ไต้หวัน  ญี่ปุ่น และ เกาหลีใต้ กำลังดำเนินการ “ปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4” โดยการเชื่อมโยงอินเทอร์เน็ตเข้ากับทุกสรรพสิ่งกันอยู่อย่างเร่งด่วนแบบ “เอาเป็นเอาตาย” นั้น “ประเทศไทย” และ สังคมไทยดำรงอยู่ในลักษณะใด?

เพื่อตอบคำถามนี้ จะขอตัดทอนข้อความบางตอนจากบทความเรื่อง “บทเรียนจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม" ของศาสตราจารย์ ดร.นิธิ  เอียวศรีวงศ์ นักคิดใหญ่จากสำนักเชิงดอยสุเทพที่เพิ่งวายชนม์ ที่เคยเขียนไว้ใน “มติชนสุดสัปดาห์ออนไลน์” ประจำวันที่ 20 กรกฎาคม 2564 มา “ตรา” เป็นคำตอบไว้ก็แล้วกัน!

อาจารย์นิธิ เขียนไว้ว่า

“…ผมขอชี้ให้เห็นว่า แม้แต่เงื่อนไขทางสังคมที่ทำให้สังคมอังกฤษพร้อมจะเริ่มปฏิวัติอุตสาหกรรม(ครั้งที่1 ผู้เขียน) ก็ยังไม่เกิดในประเทศไทย ถึงที่เกิดแล้วก็มีลักษณะบิดเบี้ยว จนไม่เป็นพลังขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสมัยใหม่ได้

แม้ว่าการผลิตด้านเกษตรกรรมของไทยขยายตัวขึ้นอย่างมากภายใต้นโยบายพัฒนา นับตั้งแต่สมัยสฤษดิ์เป็นต้นมา แต่การขยายตัวนั้นไม่ได้เน้นที่การเพิ่มผลิตภาพ เพียงแต่เพิ่มปริมาณของสินค้าการเกษตรด้วยการขยายพื้นที่เพาะปลูกเท่านั้น การสะสมทุนเกิดขึ้นจริง แต่ไม่ได้เกิดในภาคเกษตร ทุนนั้นจึงไม่วนกลับไปสู่การพัฒนาด้านเกษตรกรรม คนส่วนใหญ่ของประเทศซึ่งเป็นเกษตรกรจึงมีฐานะยากจน ไม่เกิดตลาดภายในขนาดใหญ่เพื่อรองรับการผลิตด้านอุตสาหกรรมที่ขยายตัวขึ้นได้

แม้แต่ทุนซึ่งลงไปเก็บเกี่ยวกำไรในภาคเกษตร ก็ไม่ลงทุนในภาคเกษตรโดยตรง แต่ใช้เกษตรกรรายย่อยเป็นผู้ผลิตเพื่อผลักภาระความเสี่ยงไปให้คนเล็กๆ เหล่านี้แทน (เช่น ไข่ไก่, เนื้อไก่, ข้าวอินทรีย์, ข้าวโพด, อ้อย ฯลฯ)

ภาคเกษตรกรรมไทยมีแรงงานล้นเกินอยู่แล้ว สะดวกแก่ภาคเมืองและอุตสาหกรรมจะดึงมาใช้เป็นแรงงานไร้ฝีมือของตน แต่เมื่อแรงงานขาดในภายหลัง รัฐก็เปิดให้แรงงานต่างด้าวเข้ามาจำนวนมาก เพื่อดึงราคาแรงงานให้ต่ำไว้ รัฐเองก็มีส่วนช่วยให้ราคาแรงงานต้องต่ำ เช่น ในระยะแรกใช้อำนาจเผด็จการของรัฐบาลทหารกดขี่มิให้แรงงานเคลื่อนไหว ในระยะหลังสร้างเงื่อนไขทางกฎหมายให้ขบวนการแรงงานขาดอำนาจต่อรองที่เข้มแข็ง

ค่าแรงที่ต่ำเช่นนี้ ทำให้ทุนในประเทศไทยไม่คิดจะยกระดับการผลิตของตนไปสู่ฐานความรู้มากขึ้น เพราะยังสามารถหากำไรจากแรงงานไร้ฝีมือราคาถูกได้ไม่ยาก ถึงจะมีนักวิทยาศาสตร์ที่เก่งระดับโลก ทุนไทยก็ยังทำกำไรกับการผลิตแบบรับจ้างทำของมากกว่าเสี่ยงกับการประดิษฐ์คิดค้น…"     

โดยเหตุเช่นนี้เองกระมัง ที่ทำให้สังคมไทยและคนไทยในยุค “ปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4” ของโลก ต้องตกอยู่ในสภาพ “เป็นลูกกะโล่เขา” และ “ยิ่งนับวันก็ยิ่งพิกลพิการและสินไร้ไม้ตอก” ขึ้นทุกทีๆอย่างที่เห็นๆ!

ส่วนเรื่องที่ว่าการ “พัฒนา” ทางสังคมในยุคปัจจุบันของเหล่าบรรดาลูกหลานสปีชีส์ “เซเปียนส์” (ที่เรียกตัวเองต่อมาว่า “คน”) จากสังคมแบบ “พึ่งพิงธรรมชาติ” สู่ “สังคมเกษตรกรรม” และ เคลื่อนผ่านสู่ สังคมอุตสาหกรรม จากครั้งที่ 1 จนถึงครั้งที่ 4 อย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ได้ก่อเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา และ “ดาวโลก” ที่แสนจะ(เคย) อุดมสมบูรณ์ และ งดงามดวงนี้บ้างนั้นดูเหมือนเมื่อถึงวันนี้น่าคงไม่ยากนักที่จะพยากรณ์!!