ทวี สุรฤทธิกุล

ถึงเวลานี้ทักษิณยังกร่างยังแกร่ง และยังคงแสดงพลังเป็นฉากทัศน์สำคัญของการเมืองไทยได้อย่างน่ากลัว

ฉากทัศน์นี้ต้องย้อนไปเมื่อปี 2540 ที่ทักษิณถูกรัฐประหารโดยพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน หลายคนเชื่อว่าทักษิณคงจะหมดอิทธิพลไปจากการเมืองไทยแล้ว แต่แล้วในการเลือกตั้งตอนปลายปี 2550 พรรคพลังประชาชนที่ถูกจัดตั้งขึ้นมาใหม่แทนพรรคไทยรักไทยที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบไปก็กวาดที่นั่ง ส.ส.ได้เป็นเสียงข้างมาก ทั้งนี้ก็เป็นด้วย “พลังคนเสื้อแดง” ที่ยังจงรักภักดีทักษิณอยู่อย่างสูง แม้การบริหารที่ “ไม่มีทักษิณ” จะกระท่อนกระแท่น แต่ในการเลือกตั้งใหม่ในปี 2554 พรรคเพื่อไทยที่ตั้งขึ้นมาแทนพรรคพลังประชาชน ภายใต้การนำของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวของทักษิณ ก็ยังชนะเข้ามาเป็นเสียงข้างมากได้อีก ดังนี้หลายคนจึงเชื่อว่า “ทักษิณไม่มีวันตาย” และจะยังคงมีอิทธิพลมาก ๆ ต่อการเมืองการบริหารประเทศของไทย

ผู้เขียนได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวการเมืองในช่วงนี้โดยตรงอย่างเต็มตัว เริ่มจากร่วมขบวนการต่อต้านการขายหุ้นให้เทมาเส็กโดยไม่เสียภาษีของทักษิณตอนต้นปี 2540 ตามมาด้วยการต่อต้านไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งในเดือนมีนาคมปีเดียวกันจนการเลือกตั้งเป็นโมฆะ(เพราะคนไปเลือกตั้งน้อย พรรคไทยรักไทยจึงต้องจ้างพรรคเล็กมาเป็นคู่แข่งขันปลอม ๆ เพื่อให้มีคะแนนเข้าเกณฑ์ตามกฎหมายเลือกตั้ง อันเป็นที่มาของการยุบพรรคไทยรักไทย) จากนั้นภายหลังรัฐประหาร 10 กันยายน 2540 ก็ได้เข้าไปเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ตรงนี้นี่เองที่ได้เข้าไปรับรู้ว่าทักษิณยังคงมีอิทธิพลในหลาย ๆ ด้านอยู่อย่างมาก แม้เจ้าตัวจะไม่อยู่ในประเทศนี้แล้ว

จากรายงานของฝ่ายข่าวกรองรัฐบาล(ที่เป็นหลัก ๆ ก็คือสำนักข่าวกรองแห่งชาติสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ศูนย์รักษาความปลอดภัยของทหาร และสันติบาลของตำรวจ)ให้ข้อมูลตรงกันว่า ทักษิณยังคงมีบทบาทอยู่ในหลาย ๆ ด้าน ได้แก่ การเป็นท่อน้ำเลี้ยงให้แก่กลุ่มคนเสื้อแดง การสร้างเครือข่ายในท้องถิ่นเพื่อต่อสู้ในการเลือกตั้งครั้งใหม่ และการรักษาสัมพันธ์อันดีกับกลุ่มอำนาจเก่า ซึ่งบทบาทอันหลังนี้นี่เองที่ทำให้ทักษิณสามารถฟื้นคืนสู่อำนาจได้อีก ตั้งแต่ที่ทำให้นางสาวยิ่งลักษณ์ได้เป็นนายกรัฐมนตรี จนถึงตนเองได้กลับบ้านในทุกวันนี้

สิ่งที่ใช้ในการ “รักษาความสัมพันธ์อันดี” กับกลุ่มอำนาจเก่า ที่หมายถึงกลุ่มคนในระบบราชการและองค์กรอิสระ ก็คือ “เงินและผลประโยชน์” โดยเฉพาะทหารกับตำรวจที่ได้ไปมากที่สุดและสม่ำเสมอ เช่น มีข้อมูลว่าในการไล่ล่าเอาทักษิณมารับโทษในประเทศไทยนั้น มีการจ่ายเบี้ยบ้ายรายทางเป็นระยะ ๆ (เหมือนเวลาที่ตำรวจจะจับบ่อนก็แจ้งให้เจ้าของบ่อนรู้ตัว) รวมถึงที่มีการ “ดูแลผู้ใหญ่” ให้มีรายได้อย่างเป็นกอบเป็นกำอย่างสม่ำเสมออีกด้วย แม้แต่ผู้คนบางคนในกระบวนการยุติธรรมที่ระยะหลังได้เข้ามาเรียนหลักสูตรต่าง ๆ ก็ถูกทักษิณและบริวาร “หว่านล้อม” ไว้ใช้งานและเป็น “เครือข่าย” ในบางกิจกรรมนั้นด้วย

ยุทธศาสตร์ “รักษาความสัมพันธ์อันดีกับกลุ่มอำนาจเก่า” มาเปิดเผยให้เห็นจนกระทั่งพอที่จะเชื่อมโยงได้ว่ามีอยู่จริง ก็คือกรณี “ดีลลับลังกาวี” ที่ตามมาด้วยการเดินทางกลับเข้าประเทศไทยของทักษิณในเดือนสิงหาคม 2566 จนถึงขั้นที่มีการ “ตีความ” ว่าคนที่มีอำนาจที่ทักษิณเข้าไปเชื่อมโยงในกรณีนี้ต้อง “ใหญ่มาก ๆ” ใหญ่ยิ่งกว่ารัฐบาลและข้าราชการทั้งประเทศ เพราะแม้แต่รัฐมนตรีและทหารตำรวจก็ยอมสยบก้มหัวให้ทักษิณ “ผ่านฉลุย” ในทุกขั้นตอน เหมือนมีคนเอากลีบกุหลาบที่โรยด้วยกากเพชรมารองรับทางเดินนี้

ไม่กี่วันมานี้ ทักษิณยังกล้าประกาศอีกว่า จะขอนำเอานางสาวยิ่งลักษณ์ น้องสาวที่เป็นนักโทษหญิงหนีคดีอยู่ด้วย กลับประเทศในช่วงสงกรานต์ปีหน้านี้ คืออีกไม่เกิน 5 เดือนนี้แหละ ยิ่งแสดงให้เห็นว่าทักษิณมีความมั่นใจใน “พลังอำนาจ” ของตัวเองเป็นอย่างมาก ยิ่งเชื่อมโยงไปกับที่กล้าประกาศอย่างมั่นใจว่า รัฐบาลนี้จะอยู่ครบเทอญ และการเลือกตั้งคราวหน้าในปี 2570 พรรคเพื่อไทยจะชนะอย่าง “แลนด์สไลด์” ก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่า “กรูจะทำอะไรก็ได้บนแผ่นดินนี้”

เรื่อง “ผู้ทรงอำนาจในทางการเมืองของไทย” ไม่ใช่ของใหม่ และไม่ใช่เรื่องหมิ่นเหม่ที่จะพูดถึงไม่ได้ เพราะส่วนใหญ่เป็นเรื่องของการ “แอบอ้าง” อย่างเช่นในตอนที่ผู้เขียนทำงานเป็นเลขานุการของท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ทหารยังมีการแอบอ้างกันเป็นทหารของ “ท่านโน้นท่านนี้” เพื่อแย่งชิงอำนาจกัน หรือในตอนที่ผู้เขียนเป็นคณะกรรมการตรวจสอบข้อร้องเรียนของตำรวจ ในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ใน พ.ศ. 2552 - 2553 ที่มีพลตำรวจเอกวสิษฐ เดชกุญชร เป็นประธาน ก็มีการอ้าง “ตั๋ววัง” แย่งตำแหน่งต่าง ๆ ในกรมตำรวจ แต่ดีที่พลตำรวจเอกวสิษฐท่านเป็น “ตำรวจวัง” มายาวนาน ก็เลยรู้ทันตำรวจพวกนั้น ทำให้ “แป้ก” ไปตาม ๆ กัน

ใน พ.ศ. 2557 ระหว่างที่คณะ กปปส.กำลัง “ชัตดาวน์กรุงเทพฯ” ผู้เขียนก็ได้เคยร่วมประชุมกับนายทหารบางคนที่ “มาให้กำลังใจ” ขอให้ต่อสู้ไปเรื่อย ๆ อย่าล้มเลิก จนกระทั่งในวันก่อนที่จะมีการเรียกแกนนำมวลชนฝ่ายต่าง ๆ ไปประชุมที่สโมสรกองทัพบก ถนนวิภาวดี ในวันที่ 21 พฤษภาคม(และพอวันที่ 22 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ทำรัฐประหาร จับผู้มาร่วมประชุมไปแยกกักขังตามสถานที่ต่าง ๆ) แกนนำของ กปปส.ก็แจ้งว่าไม่มีอะไรน่าห่วง “ทหารกำลังทำตามที่ประชาชนเรียกร้อง” ซึ่งผู้เขียนก็เกิดความรู้สึกขึ้นมาว่า ประเทศไทยนี้คงไม่เป็นไร “เพราะเรามีเทวดาฟ้าดินคุ้มครอง”

เรื่องของการแอบอ้างเบื้องสูงที่ปรากฏเป็นข่าวก็มีอยู่มาก บางคนโชว์นาฬิกา บางคนโชว์เครื่องประดับ หรือบางคนก็ให้ลิ่วล้อบริวารสรรเสริญเยิรยอ ฯลฯ รวมถึงคนแบบทักษิณที่โชว์ “เท่าเทียม” นั่งบนที่ประทับก็เคย คนไทยแต่โบราณเชื่อกันนักว่าใครที่ทำแบบนั้นจะไม่เจริญ ชีวิตจะมีแต่จัญไรฉิบหาย ตั้งแต่เหากินหัว ห่าลง จนถึงธรณีสูบ ฯลฯ

อีกอย่างหนึ่งในคติของโลกในทางสากล ก็ยึดถือกันว่า”ธรรมะย่อมชนะอธรรม”

คนที่ไม่มีทั้งธรรมะและชั่วเลวสุด ๆ จะต้องเจอชะตากรรมอย่าไรคงเดาไม่ยาก !