ร้อยเอก ดร.จารุพล เรืองสุวรรณ
อาจารย์ประจำคณะการทูตและการต่างประเทศ
มหาวิทยาลัยรังสิต
สัปดาห์ที่แล้วเราได้วิเคราะห์ โดนัลด์ ทรัมป์ และการขึ้นสู่ตำแหน่งครั้งที่ 2 ไปเรียบร้อยแล้ว สัปดาห์นี้เรามาว่ากันต่อในเรื่อง “ผลกระทบต่อประเทศไทย” ถ้าพร้อมแล้ว ไปลุยกันเลยครับ
โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะเลือกตั้ง จะส่งผลกระทบอย่างไรต่อประเทศไทย ?
ถ้าต้องการตอบคำถามนี้ ก็ต้องไปดูกันครับว่า ทรัมป์ “จะทำอะไร” หลังจากนี้ ซึ่งก็หนีไม่พ้นการวิเคราะห์จาก “นโยบาย” ที่ทรัมป์ใช้หาเสียงไว้นั่นเอง แต่ด้วยพื้นที่ที่จำกัด ผู้เขียนคงไม่สามารถวิเคราะห์ทุกนโยบายได้ ก็คงจะต้องโฟกัสกันที่นโยบายสำคัญๆเป็นหลักครับ
เริ่มจากนโยบายเรือธง “America First” (หรือจะเรียกว่า จุดยืน ก็คงไม่ผิด) อธิบายง่ายๆก็คือ เอาอเมริกามาก่อนอย่างอื่น และให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของชาติและชาวอเมริกันเหนือสิ่งอื่นใด ฟังดูก็ปกติใช่ไหมครับ แต่ที่แตกต่างไปก็คือการมาพร้อมกับนโยบาย “Protectionism” ที่ค่อนข้างจะแข็งกร้าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการค้าที่ทรัมป์ประกาศจะขึ้นเพดานภาษีสินค้าจีนถึง 60% และประเทศคู่ค้าอื่นๆ 10% และอาจพิจารณาเพิ่มขึ้นอีกในอนาคตจนกว่าการค้ากับประเทศนั้นๆจะเข้าสู่จุดสมดุล
ทำไมทรัมป์จึงออกนโยบายเช่นนี้? เหตุผลหลักๆก็ย้อนกลับไปยังจุดยืน America First นั่นเองครับ เพราะทรัมป์รู้สึกว่าการค้ากับประเทศอื่นๆในปัจจุบันโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับจีน เป็นสิ่งที่ทำให้คนอเมริกันเสียเปรียบจึงต้องการตั้งกำแพงภาษีให้สูงเพื่อปกป้องธุรกิจภายในประเทศ และเพื่อโน้มน้าวเชิงบังคับให้เกิดการย้ายฐานการผลิตสินค้าต่างๆเข้าสู่สหรัฐอเมริกา เพื่อสร้าง “งาน” ให้กับคนอเมริกันระดับชนชั้นแรงงานและระดับกลางซึ่งเป็นผู้สนับสนุนหลักของทรัมป์นั่นเอง
แน่นอนว่างานนี้น่าจะกระทบกับสินค้าจีนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งแน่นอนว่าก็จะต้องมีการปรับตัวต่อเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น และเชื่อได้ว่า จีนก็อาจมีมาตรการตอบโต้บางอย่างตามมา ซึ่งก็ต้องจับตาดูกันต่อไป
แต่ในแง่มุมของผู้ผลิตสินค้าจีน สิ่งที่ตามมาก็อาจเป็นการโยกย้ายฐานการผลิตหรือขยายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่นเพิ่มเติม (รวมถึงอเมริกา) และใช้การส่งออกจากประเทศอื่นๆเข้าไปยังอเมริกาแทนเพื่อหลีกเลี่ยงเพดานภาษี นอกจากนี้ เราอาจต้องลองคิดในมุมนักธุรกิจครับ เอาว่า....ถ้าตลาดอเมริกาตัน เราควรจะทำยังไงต่อ? .... ใช่แล้วครับ หาตลาดใหม่ เพื่อกระจายสินค้าก็ยังคงเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สุดคลาสสิก จึงเป็นที่คาดการณ์ได้ว่าสินค้าจีนซึ่งเป็นสินค้าราคาถูกที่มาจาก mass production จะถูกกระจายออกไปยังตลาดต่างๆทั่วโลก เพื่อเติมเต็มข้อจำกัดทางด้านตลาด
ถามว่าแล้วไทยแลนด์ของเราล่ะครับ?
ในขั้นต้น ประเทศไทยเราก็อาจจะเจอกับการขึ้นเพดานภาษี 10% ดังที่ทรัมป์ได้กล่าวไว้ ซึ่งก็อาจจะทำให้การส่งออกสินค้าไทยไปยังตลาดอเมริกามีข้อจำกัดมากขึ้น แต่สิ่งที่น่ากลัวยังไม่จบแค่นั้นครับ เพราะทรัมป์ได้บอกว่า อาจมีการพิจารณาขึ้นเพดานภาษีอีกในอนาคต จนกว่าจะเกิดสมดุลทางการค้ากับประเทศคู่ค้า! หมายความว่าอย่างไร? ก็หมายความว่า 10% เป็นแค่อินโทรครับพี่น้องงง อนาคตก็ต้องรอดูกันต่อไปว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือไม่และอย่างไร
นั่นหมายความว่าตลาดอเมริกา ตลอดจนความช่วยเหลือด้านการค้าต่อประเทศกำลังพัฒนาอย่างไทย อาจได้รับการพิจารณาใหม่ เพราะทรัมป์ไม่เอาด้วยกับการช่วยเหลือที่อเมริกาไม่ได้ประโยชน์ เรียกว่า “นามธรรม ทรัมป์ไม่ชอบ” ขอเป็นผลประโยชน์ที่ชัดเจน วัดได้ และอเมริกาได้ประโยชน์นั่นเอง ซึ่งเรื่องนี้รวมถึงด้านความมั่นคงและการทหารด้วยเช่นกัน
ลองคิดกันต่อว่าไทยจะทำอย่างไรกันต่อ ถ้าจะไปขยายการผลิตไปที่อเมริกาก็อาจจะทำได้ แต่ก็คงจะจำกัดอยู่ที่เจ้าสัวรายใหญ่ๆที่สามารถลงทุนได้ แต่ฝั่ง SME ก็คงจะเหนื่อยหน่อยครับ ซึ่งนั่นอาจจะกระทบสินค้าหลายชนิดของไทยเช่นกัน และคงต้องดูกันต่อไปด้วยว่าอนาคตเพดานภาษีจะมีการเพิ่มขึ้นอีกหรือไม่ หรือหากคิดอีกมุม ลองดูตลาดอื่นกันบ้างจะเป็นอย่างไร? ก็ต้องบอกว่า ผมเชื่อว่า เราอาจจะต้องไปเจอกับ “สินค้าจีน” โดยเฉพาะสินค้าราคาถูกของจีน ที่หลังจากนี้อาจจะขยายตลาดออกไปยังตลาดอื่นๆทั่วโลกเพื่อลดความเสี่ยงจากตลาดอเมริกา สินค้าไทยจะสู้สินค้าจีนไหวหรือไม่? คำถามนี้ต้องถามดังๆ และรีบวางแผนเตรียมตัวกันแต่เนิ่นๆ
งานนี้บอกได้เลยครับว่าไม่ง่ายสำหรับประเทศไทยครับ
อย่างน้อยที่สุด สินค้าไทยวันนี้ รวมถึงภาครัฐ ต้องเริ่มคุยกัน จับมือกันให้แน่น แล้วช่วยกันคิดว่าจะทำอย่างไรให้สินค้าไทย “Differentiate” หรือมีความแตกต่าง ได้อย่างไร เพื่อให้เราต่อสู้ได้ในบรรยากาศการค้าโลกที่อาจจะเปลี่ยนไปในอนาคตข้างหน้า
เอวัง