ช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา มีข่าวๆหนึ่งเกี่ยวกับหญิงคนหนึ่งที่ขับรถกีดขวางรถกู้ชีพที่กำลังเดินทางไปรับผู้ป่วยหมดสติ ทั้งที่รถกู้ภัยทั้งกระพริบไฟ และประกาศผ่านเครื่องขยายเสียง แต่เจ้าของรถยังไม่หลบ จึงถูกตำรวจเปรียบเทียบปรับเป็นเงิน 500 บาท ฐานความผิดตามพ.ร.บ.จราจรทางบก

แม้ญาติจะไม่ติดใจเอาความ ด้วยอาจไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเสียชีวิตจากความล่าช้าของรถกู้ภัยก็ตาม แต่สิ่งที่น่าขบคิดก็คือ หญิงผู้ก่อเหตุนั้น ตั้งคำถามว่า “เลนซ้ายยังว่าง ก็คิดว่า รถกู้ชีพจะแซงไปทางซ้าย” กลายเป็นว่าโยนความผิดกลับมาที่รถกู้ชีพ ว่าทำไมไม่แซงซ้ายหรือขับแซงไปเอง

ทำไมรถกู้ชีพถึงไม่แซงซ้าย เรื่องนี้มีเหตุผลเพราะรถกู้ชีพเหล่านี้ใช้ความเร็ว ในขณะที่บางครั้งภายในรถอาจมีผู้ป่วย ผู้บาดเจ็บหรือมีเจ้าหนาที่ พยาบาล ซึ่งปฏิบัติหน้าที่กู้ชีพอยู่ ซึ่งเป็นไปได้ว่าบุคลากรเหล่านี้ไม่ได้รัดเข็มขัดนิรภัย หรือแม้กระทั่งในรถเปล่า แต่ภายในอาจจะมีอุปกรณ์ หรือการเตรียมอุปกรณ์เพื่อความสะดวกในการเคลื่อนย้าย ฉะนั้นหากมีการเปลี่ยนช่องทางจราจรอาจเกิดอันตรายขึ้นได้

ที่สำคัญคือพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 76 และมาตรา 148 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 กำหนดไว้ว่า

“ ผู้ที่ขับขี่รถทุกประเภท การไม่หลบให้รถพยาบาลหรือรถฉุกเฉิน มีโทษตาม พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยกำหนดให้เมื่อเห็นรถฉุกเฉินในขณะปฏิบัติหน้าที่ใช้ไฟสัญญาณแสงวับวาบหรือได้ยินเสียงสัญญาณไซเรน หรือเสียงสัญญาณอย่างอื่น ต้องให้รถฉุกเฉินผ่านไปก่อน โดยปฏิบัติ ดังนี้

1. สำหรับคนเดินเท้าต้องหยุดและหลบให้ชิดขอบทาง หรือขึ้นไปบนทางเขตปลอดภัย หรือไหล่ทางที่ใกล้ที่สุด
2. สำหรับผู้ขับขี่ต้องหยุดรถหรือจอดรถให้อยู่ชิดขอบทางด้านซ้าย แต่ห้ามหยุดรถหรือจอดรถในทางร่วมทางแยก

หากไม่ปฏิบัติตามต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 500 บาทและกรณีไม่หลบรถฉุกเฉินจนเป็นเหตุให้ผู้บาดเจ็บหรือผู้ป่วย ที่อยู่ในรถถึงแก่ชีวิต อาจมีความผิดฐานกระทำการโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี และปรับไม่เกิน 200,000 บาท”

แทนที่จะคิดว่าทำไมรถกู้ชีพไม่แซงซ้าย ต้องกลับมาถามตัวเองว่า ทำไมจึงไม่เบี่ยงหลบให้รถกู้ชีพ ที่ต้องเขียนถึงเรื่องนี้ เพราะสังคมไทยปัจจุบันดูเหมือนจะมีบุคคลที่มีตรรกะผิดเพี้ยนเช่นนี้อยู่เป็นจำนวนมาก  ต่างกรรม ต่างวาระ ถึงได้มีข่าวทะเลาะกันตีกันจากปมเหตุเรื่องจราจร ฉะนั้น เมื่อมีกฎหมายให้ยึดปฏิบัติก็ปฏิบัติตามกฎหมายและมีน้ำใจให้กันบนท้องถนนกันเถอะ