สิงคโปร์ออกประกาศให้สถาบันการเงิน และบริษัทโทรคมนนาคม ต้องร่วมกันรับผิดชอบความสูญเสียของเหยื่อที่หลอกลวงทางออนไลน์ ตามมาตรการต่อต้านการหลอกลวงทางออนไลน์ เพื่อลดจำนวนผู้เสียหายที่ถูกมิจฉาชีพหลอก และอาจบั่นทอนความเชื่อมั่นในระบบธนาคารและการชำระเงินดิจิทัลของสิงคโปร์

โดยกรอบความรับผิดชอบร่วมกัน หรือ Shared Responsibility Framework (SRF) ให้เวลาสถาบันการเงินของสิงคโปร์มีเวลา 6 เดือน นับจากวันที่ 16 ธันวาคม 2567 ในการปรับใช้มาตรการดังกล่าว

ก่อนหน้านี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติสิงคโปร์ เปิดเผยตัวเลขสถิติการหลอกลวงออนไลน์ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 อยู่ที่ 26,587 ครั้ง เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566  16.3% คิดเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า 295 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 10,030 ล้านบาท โดยเหยื่อส่วนใหญ่เป็นคนที่อายุต่ำกว่า 50 ปี โดยรูปแบบการหลอกลงทุนสร้างความเสียหายมากที่สุด

หันมาดูบ้านเรา ข้อมูลปี2566 ไทยเป็นประเทศที่ถูกหลอกลวงทางออนไลน์สูงเป็นอันดับ 4 ของโลก คิดเป็น 3.1% ของ GDP

โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยสถิติการรับแจ้งความออนไลน์ของเรื่องคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ระหว่าง 1 มี.ค. 2565 - 30 มิ.ย. 2567  พบมีการแจ้งความผ่านระบบแจ้งความออนไลน์ทั้งหมด 575,507 เรื่อง มูลค่าความเสียหายรวมกว่า 65,715 ล้านบาท เฉลี่ยความเสียหายวันละกว่า 80 ล้านบาท

ขณะที่นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เร่งผลักดันร่างกฎหมายใหม่ที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองผู้เสียหายจากอาชญากรรมออนไลน์ ซึ่งอยู่ภายใต้ความร่วมมือของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และหน่วยงานอื่นๆ โดยสาระสำคัญของกฎหมายนี้ คือ การกำหนดให้ธนาคารต้องรับผิดชอบ คืนเงินแก่ผู้เสียหายเต็มจำนวน 100% หากเกิดความเสียหายที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมออนไลน์

ที่น่าสนใจ คือการออกพระราชกำหนด ที่จะออกมาเป็นกฎหมายพิเศษ ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อเร่งคืนเงินให้ผู้เสียหายจากอาชญากรรมออนไลน์ และเพิ่มโทษการซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคลโดยมิชอบ ขณะนี้ พ.ร.ก. ดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณา โดยจะมีกระบวนการทางกฎหมายที่ชัดเจนและซับซ้อน เนื่องจากเงินที่ถูกยึดมาจากผู้กระทำความผิดบางส่วนยังคงอยู่ในระบบธนาคาร ซึ่งจำเป็นต้องมีกลไกในการคืนเงินให้ผู้เสียหาย

เราเห็นด้วยกับการเร่งผลักดันกฎหมาย แต่เฉพาะหน้าหวังว่ารัฐบาลจะมีมาตรการออกมาสกัดปัญหาดังกล่าว เพื่อลดความสูญเสียทรัพย์สินและส่งผลกระทบต่อชีวิตของประชาชน ส่วนจะตามรอยสิงคโปร์ได้หรือไม่ ต้องวัดใจท่านผู้นำ