เสรี พงศ์พิศ
Fb Seri Phogphit
เมื่อพ.ศ. 2525 ที่มีการฉลอง 200 ปีรัตนโกสินทร์ “เรา” ได้ปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานพัฒนาชุมชนจากการ “เอาโครงการไปให้ชาวบ้าน” เป็นการสืบค้นหาภูมิปัญญาท้องถิ่น เพราะเชื่อว่า ในอดีต ชุมชนพึ่งตนเองได้ และเชื่อว่า ถ้าได้ฟื้นฟูระบบคุณค่าดีงามกลับคืนมาก็จะแก้ปัญหาชุมชนได้ดีกว่ารอแต่ให้รัฐช่วย
แม้ถูกปรามาสว่า “โลกสวย” โหยหาอดีตแบบ “วันวานยังหวานอยู่” ก็ไม่ได้ท้อ ได้ค้นหาปราชญ์ชาวบ้านและผู้รู้ในชุมชนทั่วประเทศ ประสานให้เกิด “เครือข่ายการแลกเปลี่ยนเรียนรู้” ตามภาคต่างๆ อย่าง “เครือข่ายอินแปง” ที่สกลนคร ที่สงขลา นครศรีธรรมราช บุรีรัมย์ ขอนแก่น มหาสารคาม นครราชสีมา ฯลฯ
ในระยะเดียวกันก็ได้ก่อตั้ง “ทัวร์ทางเลือก” เพื่อให้คนต่างชาติที่สนใจชนบทไทย ได้มีโอกาสไปเรียนรู้สิ่งดีๆ ที่มีอยู่ในชุมชน ไปสัมผัสกับวิถีชีวิต ภูมิปัญญา ศิลปวัฒนธรรม มีปฏิสัมพันธ์กับชาวบ้าน
ทั้งนี้เพราะได้ร่วมวิเคราะห์กับเพื่อนนักวิชาการชาวเยอรมันว่า ยุคการเปลี่ยนแปลงแบบหักโค่นนี้ ผู้คนทั่วโลกสนใจและโหยหา 4 เรื่อง คือ สุขภาพ (อินทรีย์ ชีวภาพ การกินการอยู่) การศึกษา (ข้อมูล ข่าวสาร ความรู้ ความเข้าใจโลก) การพักผ่อนหย่อนใจ (การท่องเที่ยว ดนตรี กีฬา) ศิลปวัฒนธรรม (ประวัติศาสตร์ ภูมิปัญญาท้องถิ่น) จิตวิญญาณ ( สมาธิ ความเรียบง่าย ความหมายของชีวิต)
“เรา” ได้สืบค้นหาภูมิปัญญาชาวบ้าน ได้พบ “ทุนชุมชน” ที่สำคัญ คือ ทุนธรรมชาติ ทุนทางปัญญา ทุนทางสังคม และได้พบว่า ชุมชนถูกเอาเปรียบแรงงานและทุนของตนเอง นอกจากผลผลิตทางการเกษตร พวกเขายังมีทักษะในการแปรรูปทั้งทางเกษตร หัตถกรรม และเครื่องยังชีพต่างๆ
เกิดธุรกิจชุมชน อุตสาหกรรมชุมชน แต่เกือบทั้งหมดเป็นของ “นายทุน” ในหรือนอกหมู่บ้าน นั่นคือที่มาของการนำเสนอพระราชบัญญัติ “วิสาหกิจชุมชน” ในเวลาเดียวกันก็พัฒนาต่อยอด “สภาผู้นำชุมชน” และ “การทำแผนแม่บทชุมชน” ที่เป็นกระบวนที่ได้ให้ชื่อว่า “ประชาพิจัย” เพื่อให้ชาวบ้านทำ “บิ๊กดาต้าชุมชน” เอง
เพื่อพัฒนาตนเอง 3 ขั้นตอน คือ “รอด-พอเพียง-ยั่งยืน” (3 S : survived, sufficient, sustainable) รอดจากความยากจน หนี้สิน อยู่อย่างพอเพียง พึ่งตนเองอย่างมั่นคงยั่งยืน
อันเป็น “ทฤษฎี” ที่ “เรา” ได้สังเคราะห์จากการทำงานกับชุมชน หลายปีก่อนได้เห็นแนวคิดพื้นฐานของ “เป้าหมายการพัฒนายั่งยืน” (SDG) ของสหประชาชาติ (2015-2030) คือ จากล่างขึ้นบน (bottom up) ศักดิ์ศรีของมนุษย์ (human dignity สตรี ผู้สูงวัย คนชายขอบ คนพิการ) และ ความพอเพียง (sufficiency)
“เรา” ได้สรุปหลักคิดของการ “คืนสู่รากเหง้า” ที่ได้เริ่มพัฒนามากว่า 40 ปี แยกเป็น 4 ด้านตามกระแสและแนวโน้มการปลี่ยนแปลงของโลกที่ “หมุนกลับ” วันนี้ คือ
คืนสู่ธรรม (back to the source) กลับไปค้นหาต้นธารของคุณค่าและความหมายของชีวิตในศาสนา หรือปรัชญา หลักคิด อุดมคติ อุดมการณ์ที่ตนเองนับถือ
คืนสู่ธรรมชาติ (back to the nature) คืนสู่สามัญ (back to basics) คืนสู่รากเหง้า (back to the roots) ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญเพื่อการอยู่รอดและมีความสุขในสังคมวันนี้มีกำลัง “เมามัน” กับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี แต่ก็ “ทุกข์ร้อน” กับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ สิ่งแวดล้อม รวมทั้งเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง
“อาวุธอันเดียวที่เหลืออยู่ คือ วัฒนธรรม” คือ วิถีชีวิตที่มีรากเหง้าในระบบคุณค่า ภูมิปัญญาที่ไม่ได้เสื่อมสลายไปทั้งหมด หากได้รับการฟื้นฟูก็จะกลับมาด้วยกระบวนการ “กลับไปหา” คุณค่า 4 ประการข้างต้น
ปี 2536 “เรา” ได้นำประสบการณ์การทำงานพัฒนาไปใช้กับบรรดาผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่ภาคเหนือ ส่งเสริมให้รวมกลุ่มและสานเป็นเครือข่าย จนแพร่กระจายไปทั่วประเทศกว่า 600 กลุ่ม ทำให้ “คนชายขอบ” อย่างพวกเขาได้รับการดูแล มีช่องทางให้เข้าถึงยาและการรักษาอย่างเหมาะสม
ได้ให้แกนนำของกลุ่มผู้ติดเชื้อเขียนประสบการณ์ชีวิต พร้อมกับความคิดคำนึงและการวิเคราะห์สรุปบทเรียน “ของเรา” ไปลงมติชนสุดสัปดาห์ รวมเล่มเป็น “บันทึกเพื่อนชีวิตใหม่” เผยแพร่ระดมทุนเพื่อกองทุนยาของกลุมผู้ติดเชื้อ กระทรวงศึกษาธิการขอไปตีพิมพ์ 2 ครั้ง เผยแพร่ยังโรงเรียนทั่วประเทศ
คนในแวดวงสาธารณสุขบอกว่า เป็นหนังสือที่เปลี่ยนทัศนคติของสังคมไทยเกี่ยวกับผู้ติดชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์ ได้สะท้อนให้เห็น “โฉมหน้ามนุษย์ของเอดส์” (Human face of AIDs)
ประสบการณ์การทำงานกับชุมชนนำไปสู่การก่อตั้ง “สถาบันส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน” และการพัฒนาหลักสูตรสหวิทยาการเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น เสนอให้มหาวิทยาลัยของรัฐในนาม “โครงการมหาวิทยาลัยชีวิต” เพื่อให้นักศึกษาโดยเฉพาะผู้ใหญ่ได้เรียนรู้องค์ความรู้ที่ได้สังเคราะห์มาจากชุมชน
เมื่อไปไม่ได้ผลตามเจตนาเดิม เพราะไม่อาจปรับเปลียนไมน์แซ็ตของสถาบันอุดมศึกษาของรัฐได้ จึงได้ก่อตั้ง “สถาบันการเรียนรู้เพื่อปวงชน” (Learning Institute For Everyone : LIFE) ที่มีวิสัยทัศน์ว่า “เรียนรู้เพื่ออยู่อย่างมีศักดิ์ศรีและมีกินในท้องถิ่นตน” “เรียนแล้วช่วยตัวเองได้ ช่วยคนอื่นได้”
นักศึกษาในสถาบันนี้ที่มักเรียกว่า “มหาวิทยาลัยชีวิต” ต้องทำแผน 4 แผน และลงมือปฏิบัติด้วย คือ แผนชีวิต แผนอาชีพ แผนการเงิน แผนสุขภาพ และทำโครงงานเพื่อพัฒนาตนเองหรือชุมชนของตน
“สถาบันส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน” และ “สถาบันการเรียนรู้เพื่อปวงชน” เกิดจากความร่วมมือระหว่าง 4 องค์กร คือ มูลนิธิหมู่บ้าน “ปตท.” “ธกส.” และ “สวทช.” ที่ “เรา” ได้ริเริ่มประสานจากประสบการณ์ที่ได้ทำงานกับ UNAIDs มาก่อน ซึ่งเป็นองค์กรที่นำเอาหน่วยงานใหญ่ๆ มาร่วมมือกัน
เหล่านี้ เป็นบางส่วนของประสบการณ์ชีวิตกว่า 45 ปีที่ทำงานกับชุมชน ควบคู่ไปพร้อมกับงานวิชาการและการบริหารองค์กร ที่ 30-40 กว่าปีที่แล้วเป็นสิ่งแปลกใหม่ที่ไม่ใช่ใครๆ ก็เห็นด้วย เห็นต่างและต่อต้านก็มี
แน่นอน “เรา” ไม่ได้คิดคนเดียว ทำคนเดียว มีบุคคล มีองค์กรที่เกี่ยวข้อง ช่วยเหลือ สนับสนุนมากมายทั้งในและต่างประเทศล้วนเป็นกัลยาณมิตรที่มีส่วนทำให้เกิด “วิภาษวิธี” ที่นำมาซึ่งแนวคิด นวัตกรรมที่ “ปรับฐานรากเปลี่ยนฐานคิด” ของสังคม ที่หลายอย่างเพิ่งมาเห็นคุณค่าเมื่อ “โลกหมุนกลับ” นี่เอง