คำว่า “บุญ” มาจากคำศัพท์ภาษาบาลีว่า “ปุญญะ” ซึ่งมีหลายความหมาย เช่น ผลของกุศลกรรมหรือผลแห่งความดี การชำระจิตใจให้บริสุทธิ์สะอาด ชื่อหนึ่งของความสุขที่ประณีตลึกซึ้งฯ สิ่งที่พึงศึกษา เรียนรู้ และฝึกฝนให้พัฒนาขึ้นฯ สิ่งทำให้เกิดภาวะน่าบูชา เพราะคนมีบุญ ย่อมจัดว่าเป็นคนดีมีคุณธรรม จึงเป็นคนน่าบูชา (ที่มาปองธรรม.(2555).ทำบุญอย่างไรให้ได้บุญ.อักษรเงินดี.)

ในบทความเรื่อง“บุญที่เมืองไทยต้องการ” พระไพศาล วิสาโล ระบุว่า “การทำบุญของคนไทยแต่ก่อนนั้น ไม่ได้มีอานิสงส์เพียงแค่ทำให้ใจสงบมีปีติเท่านั้น หากยังก่อให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม หรือเป็นการสงเคราะห์ผู้อื่นไปด้วยในตัว เมื่อชาวบ้านทอดผ้าป่าหรือทอดกฐิน ปัจจัยไทยทานที่ถวายวัดไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อพระเณรเท่านั้น หากชาวบ้านก็ได้ใช้ด้วย เช่น เวลาจะจัดงานแต่งงานหรือทำบุญบ้าน ก็มายืมจานชามและถ้วยจากวัด เวลาจะประชุมก็มาใช้ศาลาและวิหารของวัด

ประเพณีบางอย่างดูเผิน ๆ ก็ไม่มีคุณค่านอกไปจากเรื่องของจิตใจ แต่ที่จริงยังก่อให้เกิดผลที่จับต้องได้ เช่น ประเพณีก่อพระเจดีย์ทรายในวันสงกรานต์ ลองนึกภาพว่าถนนหนทางในหมู่บ้านชนบทช่วงหน้าร้อนนั้นมักขรุขระหาไม่ก็มีฝุ่นหนา ไม่สะดวกแก่การสัญจร ทรายที่ชาวบ้านช่วยกันขนมาก่อเป็นพระเจดีย์อยู่ริมทางนั้น เมื่อพ้นงานเทศกาลแล้วก็ไม่ได้หายไปไหน เมื่อพระเจดีย์ทลายก็กลายเป็นทรายถมทางไปในที่สุด

ประเพณีบางอย่างก็เป็นการสงเคราะห์ผู้อื่นอย่างชัดเจน ในภาคเหนือ มีประเพณีที่เรียกว่า “ทานทอด” คือการนำวัตถุไปมอบให้แก่คนยากไร้ในหมู่บ้าน โดยวางไว้ใกล้ที่อยู่ของเขา หลังจากนั้นจึงจุดประทัดเพื่อเป็นสัญญาณว่ามีคนเอาของมาให้ ชาวบ้านถือกันว่าทำเช่นนี้ก็ได้บุญเช่นเดียวกับการทอดผ้าป่า

อย่างไรก็ตามมิพึงเข้าใจว่าบุญนั้นจะทำได้ก็ต่อเมื่อมีเทศกาลงานประเพณีหรือเมื่อโอกาสสำคัญมาถึง ในชีวิตประจำวันก็สามารถทำบุญได้ตลอดเวลา การตักน้ำใส่ตุ่มตั้งไว้หน้าบ้านให้ผู้คนที่ผ่านไปผ่านมาดื่มดับกระหาย ถือเป็นบุญที่ชาวบ้านแต่ก่อนนิยมทำโดยไม่ต้องมีพิธีกรรมใด ๆมาเกี่ยวข้อง แม้แต่การทำนา เขาก็ถือว่าสามารถทำบุญได้เช่นกัน ท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุเล่าว่า เมื่อท่านยังเด็ก โยมแม่ได้สอนคาถาประจำใจเวลาทำนาว่า “นกกินก็เป็นบุญ คนกินก็เป็นทาน” คาถานี้โยมแม่ของท่านเรียกว่า “คาถากันขโมย” เพราะเมื่อทำใจคล้อยไปตามคาถานี้แล้ว ก็จะไม่เห็นใครเป็นขโมยอีกต่อไป มีแต่ผู้ที่มาช่วยให้เราได้บุญ คาถานี้คงไม่ได้ใช้กับครอบครัวของท่านอาจารย์พุทธทาสครอบครัวเดียว หากยึดถือกันทั่วไปในภาคใต้” (ยังมีต่อ)