วันที่ 13 ตุลาคมของทุกปี เป็น “วันนวมินทรมหาราช” เพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทย

จึงขอนำเรื่องราวเกี่ยวกับกฤดาภินิหารของพระองค์ผ่าน พล.ต.ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช อดีตนายกรัฐมนตรี และผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์สยามรัฐ  จากเรื่อง “กฤดาภินิหารของ ในหลวงฯที่ “คึกฤทธิ์” เห็น” โดย ทองแถม นาถจำนง อดีตบรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณา สยามรัฐ เรียบเรียงไว้ในสยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ ปี 2559 บางช่วงบางตอนมาเผยแพร่ต่อดังนี้

 “ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจยิ่งกว่าใครทั้งหมดในแผ่นดินไทย เกือบไม่น่าเชื่อว่ามนุษย์คนไหนจะทำงานได้มากขนาดนี้ พูดเป็นสุภาษิตโบราณก็เหมือนว่า อาบ พระเสโทต่างพระอุทกธารา....คืออาบเหงื่อต่างน้ำ ไม่มีอีกแล้ว” (คึกฤทธิ์ ปราโมช) ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช เคยเห็นบุญญาภินิหารของในหลวงฯ กับตา ท่านเล่าว่า “สำหรับพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบัน ผมไม่อยากพูด ท่านทั้งหลายคงทราบดีอยู่แล้วว่า ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจยิ่งกว่าใครทั้งหมดในแผ่นดินไทย เกือบไม่น่าเชื่อว่ามนุษย์คนไหนจะทำงานได้มากขนาดนี้

พูดเป็นสุภาษิตโบราณก็เหมือนว่า อาบพระเสโทต่างพระอุทกธารา คืออาบเหงื่อต่างน้ำ ไม่มีอีกแล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องที่อยู่ในหัวใจของคนไทยทุกคน ถ้าจะว่าในทางบุญญาภินิหาร รัชกาลปัจจุบันนี้แหละที่คนไทยได้เห็นบุญญาภินิหารของพระองค์มากที่สุด กระผมได้พบด้วยตนเอง ผมเองจะว่าคนโบราณก็โบราณ แต่ความรู้วิชาการสมัยใหม่ก็ยังมีอยู่ ได้เห็นเองบ้าง ไม่เห็นบ้าง และได้รับการบอกเล่าจากคนอื่นที่เชื่อถือได้

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ คุณหลวงสุรัตน์ณรงค์ ราชองครักษ์ เล่าให้ผมฟัง เมื่อครั้งเสด็จประพาสทางชายพรมแดน ประทับเรือพระที่นั่งเสด็จทอดพระเนตรแม่น้ำโขงฝั่งไทย พอไปถึงตำบลหนึ่ง ผู้ว่าราชการนครพนมเวลานั้นยืนอยู่ข้างพระองค์ คอยชี้แจง ก็กราบบังคมทูลว่า บ้านนี้เรียกว่าอย่างนั้น ตำบลนั้นชื่ออะไร ราษฎรมีเท่าไร ทำมาหากินอะไร ไปถึงตำบลหนึ่งเรียกว่า วังจระเข้ ก็ทรงพระสรวล มีพระราชดำรัสถามว่า แล้วมีจระเข้ไหม ผู้ว่าฯก็กราบบังคมทูล ไม่มี สมัยนี้เรือไฟ เรืออะไร จระเข้คงไม่มีอาศัยอยู่ได้ ก็ต้องหลบหนีไป ก็มีพระราชดำรัสว่า เสียดายจริง ฉันยังไม่เคยเห็นจระเข้ที่มันอยู่ตามธรรมชาติ พอมีพระราชดำรัสขาดพระโอษฐ์เท่านั้น จระเข้ขึ้น 2 ตัว ก็ทรงพระสรวล ชี้ให้ผู้ว่าฯดู ว่าเห็นไหม ผู้ว่าฯ คืนนั้นกลับมาจวนแล้วเมา บอกว่าจระเข้มันทำกูเสีย ท่านเลยจับได้ว่าไม่ได้ไปตรวจท้องที่ ผมเคยเห็นยิ่งกว่านั้น เสด็จ ฯ เมืองเพชร เขาปลูกปะรำรับเสด็จฯใหญ่หน้าศาลากลาง 2 ปะรำ ....

ขณะนั้นฝนตกหนักที่สุด...ราชองครักษ์ให้คนกางกลดถวาย พระองค์ทรงยับยั้ง บอกคุณหลวงว่า ก็เขาเปียกได้ เราก็เปียกได้ ว่าแล้วเสด็จพระราชดำเนินออกไป.... ฝนหยุดตก นี่เอาไปสาบานที่ไหนก็ได้ว่าเห็นมากับตา แปลกจริง ๆ ไม่มีฝน เสด็จพระราชดำเนินไปเข้าปะรำโน้น พอลับพระองค์ ฝนตกจั้ก ๆ อย่างเก่าอีกทันที พวกที่ตามเสด็จ ฯ ไม่ต้องพูดละ.... โชกไปด้วยกันหมด หนีไม่ทัน แม้องค์สมเด็จพระราชินีนาถยังเปียก เสด็จพระราชดำเนินคล้อยตาม นี่ก็เห็นกันมาแล้ว และอื่น ๆ อีกมากมายเหลือเกิน จะเล่าไปไม่มีที่สิ้นสุด” (จากปาฐกถาเรื่อง “สถาบันพระมหากษัตริย์” สิงหาคม พ.ศ. 2524 สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ ปี 2559)