ศึกสนามเลือกตั้งซ่อมนายกอบจ.ปทุมธานี เมื่อวันอาทิตย์ที่ 22 ก.ย.67 ที่ผ่านมา ผลแพ้-ชนะ ชัดเจนแล้วว่า แม้งานนี้จะเป็นการต่อสู้ “สนามเล็ก” แต่อีกด้านหนึ่งคือการสะท้อน อารมณ์ ความรู้สึก และปัญหาที่จะตามมาใน “สนามใหญ่” สำหรับ “พรรคเพื่อไทย” มากที่สุด ! 
    
องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ปทุมธานี ประกาศผลการนับคะแนนเลือกตั้ง (อย่างไม่เป็นทางการ)  เมื่อวันจันทร์ที่ 23 ก.ย.67 กรณีการเปิดสนามขิวเก้าอี้ “นายก อบจ.ปทุมธานี”  โดยผู้สมัครยังเป็นชุดเดิม แต่ครั้งนี้เป็นเสมือน “นัดแก้มือ” ของ “ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง” กับ “ชาญ พวงเพ็ชร์” สวมเสื้อพรรคเพื่อไทย 
    
โดยผลคะแนนปรากฏว่า อันดับ 1 “บิ๊กแจ๊ส”  พล.ต.ท.คำรณวิทย์  ชนะเลือกตั้ง ได้ไป 187,975 คะแนน ส่วนชาญ ได้ไป 120,007 คะแนน หมายความว่า คะแนนของบิ๊กแจ๊ส ทิ้งห่าง แชมป์เก่า ชนิดไม่เห็นฝุ่น  ได้ตอกย้ำถึงสถานการณ์ “วงเล็ก” ไปจนถึง “วงใหญ่” ของพรรคเพื่อไทยว่ามาสู้ดีนัก     
    
นักวิเคราะห์ทางการเมืองหลายสำนักประเมินถึง “เหตุปัจจัย” ที่ทำให้ชาญ จากพรรคเพื่อไทยแพ้เลือกตั้ง ซึ่งเจ้าตัวเองยอมรับความพ่ายแพ้ตั้งแต่รู้ผลอย่างไม่เป็นทางการเมื่อคืนของวันที่22 ก.ย. แล้วนั้น คาดว่ามาจาก คดีความของชาญ ที่ยังติดตัวอยู่อีก 2 คดีคือจัดซื้อถุงยังชีพ เมื่อคราวน้ำท่วมใหญ่ ปี 2554 และจัดซื้อเครื่องออกกำลังกาย โดยกระทรวงมหาดไทยส่งสัญญาณชัดว่าหากได้รับการเลือกตั้งก็จะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่   บวกกับการถอยห่างของพรรคเพื่อไทยเองที่ไม่ได้ระดมกันลงมาช่วย โดยน่าจะดูจากบทเรียน การเลือกตั้งนายกอบจ.ปทุมฯ ครั้งก่อนที่เกิดความล่อแหลมทางกฎหมาย  ทำให้ชาญ ได้ใบเหลืองจากกกต.
    
แต่อย่างไรก็ดี อีกด้านหนึ่ง ต้องไม่ลืมว่า เมื่อครั้งก่อน ที่ชาญ เอาชนะบิ๊กแจ๊ส มาได้นั้นส่วนหนึ่งเพราะพรรคเพื่อไทยใช้สูตรระดม “6บ้านใหญ่เมืองปทุมฯ”  ทุ่มกำลังช่วยชาญ จนเป็นที่มาของความมั่นใจว่า “บ้านใหญ่ยังขลัง” 
    
ทว่าเมื่อศึกเลือกตั้งนายกอบจ.เมืองปทุมฯ รอบนี้ ดูเหมือนว่าการใช้สูตรเดิมอาจไม่สำเร็จ เมื่อกระแสของชาญเองไม่ดีขึ้นและยังมีโอกาสที่จะถูกล็อค ถูกบล็อกจากคดีค้างเก่าของตัวเองแล้ว ต้องยอมรับว่า “กระแส” ของพรรคเพื่อไทยในฐานะพรรคแกนนำรัฐบาลเองไม่ได้อยู่ในสถานะที่แข็งแกร่งมากนัก 
    
ทั้งความชัดเจนโครงการเรือธง “แจกเงินหมื่น” ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ในเฟสต่อไป จะเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่ ยังเป็นเรื่องที่ต้องลุ้นและตามข่าวกันแทบทุก3วัน  นอกจากนี้การมี “นายกฯอิ๊งค์” เข้ามานำทัพครม.ใหม่ เมื่อล่วงเข้าสัปดาห์ที่ 3 แต่ยังกลายเป็นว่า นายกฯคนใหม่ “แต้มตก” ไปพร้อมๆกับการผจญกับ “คำร้อง” สารพัดคดี ที่ล้วนพุ่งเป้า หวังสอย “แพทองธาร” ให้พ้นเก้าอี้ ดังนั้นภาระที่พรรคเพื่อไทย และหัวหน้าครม.ต้องเจอกับแรงเสียดทานรอบด้านเช่นนี้ ล้วนไม่ส่งเสริมสนามเลือกตั้งทั้งเล็กและใหญ่ มากนักยกเว้นบางสมรภูมิ ที่พรรคเพื่อไทยได้ “แรงหนุน” จากพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเอง เท่านั้น !