เสือตัวที่ 6
กลยุทธ์แยกกันเดินและร่วมกันตีเป็นแนวทางการต่อสู้หลักของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พ.ค.ท.) ในอดีตที่ใช้ต่อสู้กับรัฐไทยเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองไปสู่รูปแบบที่กลุ่มตนเองต้องการด้วยหลักการแยกกันเดินหน้าขับเคลื่อนการต่อสู้กับรัฐในทุกรูปแบบที่ต่างคนต่างเดินเกมตามศักยภาพและบทบาทของแต่ละกลุ่มแนวร่วมขบวนการหากแต่ละกิจกรรมการขับเคลื่อนของแต่ละกลุ่มนั้นจะเป็นการเสริมพลังการต่อสู้ให้เข้มแข็งมากขึ้นจนเป็นการทวีกำลังการต่อสู้ฝ่ายตนเองขึ้นเป็นหลายเท่าทวีคูณทั้งยังเป็นการสร้างความสับสนให้ฝ่ายรัฐไปในตัวอีกด้วย ในขณะเดียวกันกิจกรรมเพื่อเดินหน้าของแต่ละกลุ่มที่แยกกันกระทำนั้นจะเป็นการมุ่งไปสู่เป้าหมายเดียวกันอย่างสัมพันธ์สอดรับกันนั่นคืออิสรภาพในการปกครองตามรูปแบบที่กลุ่มตนต้องการ และกลยุทธ์แยกกันเดินและร่วมกันตีดังกล่าวนั้นก็ถูกนำมาใช้ในการขับเคลื่อนการต่อสู้กับรัฐไทยของกลุ่มคนในขบวนการแบ่งแยกการปกครองจากรัฐอย่างกลมกลืนและทรงพลังยิ่ง
การขับเคลื่อนการต่อสู้ทางความคิดผ่านทุกเวทีที่มีโอกาสภายใต้ร่มใหญ่ของกระบวนการพูดคุยเจรจาสันติภาพระหว่างตัวแทนกลุ่มบีอาร์เอ็นกับตัวแทนของรัฐไทยที่กำลังเดินหน้าอย่างเข้มข้นในเวลานี้ที่กล่าวอ้างข้อตกลงร่วมของแผนปฏิบัติการร่วมเพื่อสร้างสันติสุขแบบองค์รวม หรือ JCPP (Joint Comprehensive Plan towards Peace) ซึ่งเป็นข้อตกลงร่วมกันของคณะพูดคุยสันติสุขของรัฐหรือการเจรจาสันติภาพของขบวนการบีอาร์เอ็น ได้จัดทำขึ้นเมื่อ ก.พ. 2566 โดยทั้งผู้แทนรัฐและบีอาร์เอ็นต่างตกลงร่วมกันใน 3 ประเด็นสำคัญคือ 1.ลดความรุนแรงในพื้นที่ 2.จัดให้มีเวทีปรึกษาหารือกับประชาชน และ 3.การแสวงหาทางออกทางการเมือง โดยกลุ่มบีอาร์เอ็นยื่นเงื่อนไขอันเป็นการบ่งบอกว่ากลุ่มบีอาร์เอ็นมีอำนาจเหนือรัฐอย่างเห็นได้ชัด ทั้งยังดำเนินการร่วมกับการแอบซ่อนแฝงเร้นการสั่งสมบ่มเพาะแนวคิดอันเป็นปรปักษ์กับความมั่นคงและบูรณภาพแห่งอาณาเขตของชาติให้เกิดกับเด็กและเยาวชนตลอดจนคนในชุมชน ขยายแนวคิดแปลกแยกแตกต่างจนสร้างความเห็นร่วมในการให้อิสรภาพในการอยู่กันเองของคนในพื้นที่โดยอ้างหลักการตามรัฐธรรมนูญไทยที่ให้สิทธิและเสรีภาพในการดำรงชีวิตของประชาชนไทยพร้อมกับการสร้างความเห็นต่างจนเกิดความเกลียดชังคนต่างความคิดผ่านกิจกรรมที่แฝงไว้ซึ่งการแบ่งแยกผู้คนในพื้นที่กับคนต่างพื้นที่จนเป็นการสร้างแนวคิดอุดมการณ์การต่อสู้กับรัฐเพื่อเอกราชการปกครองของคนในพื้นที่อย่างโจ่งแจ้ง อาทิ ปรากฏการณ์ต้นเดือนสิงหาที่ผ่านมา เกิดการรวมตัวกันทำการแห่ศพผู้ก่อการร้ายที่ถูกวิสามัญอันเกิดจากการต่อสู้ด้วยอาวุธกับเจ้าหน้าที่รัฐ ในระหว่างแห่ศพคนร้ายได้มีการส่งเสียงตะโกน Patani Merdeka ซึ่งแปลเป็นไทยว่า เอกราชปาตานี เป็นระยะๆ ตลอดทาง อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี อันเป็นการเชิดชูคนเหล่านี้ให้เป็นนักรบผู้กล้าในสงครามศักดิ์สิทธิ์ของขบวนการต่อสู้กับรัฐกลุ่มนี้อย่างออกนอกหน้า ทั้งยังเป็นการยกย่องให้เป็นเยี่ยงอย่างให้แนวร่วมขบวนการนำไปเป็นแบบอย่างให้สานต่อแนวคิดอุดมการณ์การต่อสู้ของพวกเขาให้สืบเนื่องต่อไปอย่างอหังการ การนัดแนะรวมตัวเพื่อร่วมขบวนแห่ศพเยี่ยงวีรบุรุษของพวกเขาสามารถกระทำได้อย่างรวดเร็วและสามารถสร้างแนวคิดอารมณ์ร่วมในการต่อสู้ของมวลชนคนในพื้นที่ได้เป็นหนึ่งเดียวกัน ก่อให้เกิดพลังในการร่วมกันต่อต้านรัฐอย่างได้ผลสะท้อนแนวคิดอุดมการณ์การต่อสู้เพื่ออิสรภาพของพวกเขาที่ถูกสร้างสมมาบ่มเพาะมาอย่างยาวนาน
การเดินเกมเพื่อการต่อสู้ทางความคิดกับรัฐผ่านเวทีตามกระบวนการและกิจกรรมต่างๆ ข้างต้นเพื่อสร้างแนวร่วมทางความคิดอุดมการณ์ให้กล้าแข็งพร้อมสร้างแนวร่วมระดับชาติทั้งที่ตั้งใจและที่ไม่ได้ตั้งใจ ให้เป็นแนวร่วมในการหนุนเสริมการได้มาซึ่งอิสรภาพและเสรีภาพในการปกครองกันเองของคนในพื้นที่ ในขณะเดียวกันคนกลุ่มนี้ก็ได้ใช้บทบาทของการต่อสู้ด้วยอาวุธของกองกำลังติดอาวุธไปด้วยอย่างได้ผล ในขณะเดียวกันคนกลุ่มนี้ยังแยกการต่อสู้ด้วยอาวุธอย่างต่อเนื่องด้วยการให้กองกำลังติดอาวุธและแนวร่วมที่จัดตั้งขึ้นอย่างเข้มแข็งแล้ว ร่วมกันก่อเหตุร้ายทุกรูปแบบโดยมุ่งเป้าหมายหลักไปที่คนและสถานที่ของรัฐอันเป็นการส่งสัญญาณให้เห็นว่าเป็นการต่อสู้ของคนในท้องถิ่นกับรัฐผู้ปกครองเพื่อให้เกิดแนวร่วมระดับนานาชาติในการให้การสนับสนุนขบวนการนี้ให้มีเอกราชตามตั้งใจ อาทิ ล่าสุด เมื่อ 14 ก.ย. กองกำลังติดอาวุธของขบวนการร้ายแห่งนี้ได้เข้าโจมตีหน่วยราชการโดยมีการสาดกระสุนหลายนัดและลอบจุดระเบิดตู้เอทีเอ็มและเผาอาคารสำนักงานและรถยนต์ทางราชการ อบต.บ้านโหนด จ.สงขลา เป็นต้น ซึ่งนั่นจะไม่ใช่การโจมตีครั้งสุดท้ายของพวกเขาอย่างแน่นอน
กลุ่มคนในขบวนการแบ่งแยกการปกครองจากรัฐกลุ่มนี้ ใช้แนวทางการต่อสู้ที่สืบทอดมาจากการต่อสู้ของ พคท. ในอดีต หากแต่มีการประยุกต์ใช้ให้สอดรับกับสถานการณ์ในปัจจุบัน ทั้งยังมุ่งสืบทอดแนวคิดหลักการของหะยีสุหลง อับดุลกาเดร์ ประธานกรรมการอิสลาม จ.ปัตตานี เมื่อ 3 เม.ย. 2490 อันบ่งบอกถึงความเป็นเอกราชของปาตานี อาทิ 1.ผู้มีอำนาจปกครองในพื้นที่นี้ต้องเป็นมุสลิมใน 4 จังหวัด 2.การศึกษาภาษามลายูควบคู่ไปกับภาษาไทย 3.ภาษีที่เก็บได้ให้ใช้ภายใน 4 จังหวัดเท่านั้น 4.ภาษาราชการ ให้ใช้ภาษามลายูควบคู่กับภาษาไทย 5.ให้ศาลรับพิจารณาตามกฎหมายอิสลาม เป็นต้น เหล่านี้จึงทำให้เห็นว่าการแยกกันเดินเกมการต่อสู้โดยคนกลุ่มหนึ่งที่ใช้บทบาทของการเจรจาเพื่อสันติภาพ คนอีกกลุ่มหนึ่งก็ใช้บทบาทของการกดดันการออกนโยบายและกฎหมายที่เอื้อให้เกิดอิสรภาพกับพวกเขา และอีกกลุ่มหนึ่งก็สั่งสมบ่มเพาะแนวคิดแปลกแยกแตกต่างจากรัฐให้เกิดกับคนคนพื้นที่จนเป็นการสะสมพลังทางความคิดแบ่งแยกกับรัฐอย่างสุดโต่ง ในขณะที่คนอีกกลุ่มหนึ่งก็ดำรงความพยายามในการใช้บทบาทความรุนแรงก่อเหตุโจมตีทุกเป้าหมายที่เป็นสัญลักษณ์ของรัฐอย่างต่อเนื่อง อันเป็นการแยกกันเดินเกมการต่อสู้ตามบทบาทของแต่ละกลุ่ม หากแต่เป็นเกมการต่อสู้ที่สอดประสานกันอย่างกลมกลืนอันเป็นการร่วมกันตีที่มีพลังมากขึ้นเป็นทวีคูณ