ทวี สุรฤทธิกุล
“คนจะงามงามน้ำใจใช่ใบหน้า คนจะสวยสวยจรรยาใช่ตาหวาน
คนจะแก่แก่ความรู้ใช่อยู่นาน คนจะรวยรวยศีลทานใช่บ้านโตฯ”
วันนี้จะพาท่านทั้งหลายเข้าไปใกล้ ๆ วัดสักนิด แล้วค่อยเข้าสภากับทำเนียบรัฐบาล เพื่อหาตัวอย่าง “คนดี ๆ” ในสถานที่เหล่านั้น
“จริยะ” แปลว่า “การกระทำที่ดี” ในยุคโบราณถือว่าเป็นวิชาที่กษัตริย์หรือผู้ปกครองต้องเรียนรู้ นอกเหนือจากวิชาสู้รบ วิชาวรรณคดี และนิติศาสตร์ เรียกวิชานี้ว่า “จริยศาสตร์” เพราะกษัตริย์นอกจากจะต้องรบเก่ง ยังต้องรอบรู้วรรณกรรมและกฎหมาย ที่สุดคือ “การกระทำที่ดี” เพื่อให้เป็นนักปกครองหรือกษัตริย์ที่ดี
ยุคนี้ประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย แปลว่าอำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน โดยประชาชนมอบอำนาจนี้ให้แก่สมาชิกรัฐสภาผ่านการเลือกตั้ง สมาชิกรัฐสภาจึงเป็น “ผู้ปกครอง” ที่อยู่ในอาณัติหรือการควบคุมของประชาชน ดังนั้นคนเหล่านี้จึงต้องเป็นบุคคลที่มี “จริยะ” หรือต้องทำอะไรดี ๆ เป็นคุณสมบัติหลัก เพราะถ้าทำไม่ดีดังเช่นกษัตริย์ยุคก่อน ก็จะถูกเรียกว่า “ทรราชย์” เช่นเดียวกันคนที่ทำไม่ดีก็จะถูกเรียกว่า “ทรชน” หรือถ้าเป็นคนที่ทำงานในระดับชาติ ก็น่าจะเรียกว่า “คนชั่วชาติ”
ด้วยเหตุนี้ในการเข้าทำงานในองค์กรต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานของรัฐหรือเอกชน เขาจะต้องให้คนที่ถูกบรรจุเข้าทำงานทำสัญญาจ้าง และในสัญญาจ้างข้อหนึ่งจะต้องกล่าวถึง “จริยธรรม” คือสิ่งที่ต้องประพฤติปฏิบัติ เป็นต้นว่า ความซื่อสัตย์สุจริต ไม่ประพฤติผิดศีลธรรม หรืออุทิศตนให้แก่การทำงานอย่างเต็มที่ ทั้งนี้ถ้าฝ่าฝืนจริยธรรมเหล่านี้แล้ว ก็จะมีบทลงโทษกำกับไว้ ความหนักเบาก็เป็นไปตามลำดับของการฝ่าฝืนนั้น ตั้งแต่ว่ากล่าวตักเตือน ภาคทัณฑ์ ลดเงินเดือน ตัดเงินเดือน จนถึงให้ออก และไล่ออก รวมทั้งฟ้องร้องเอาผิดทางอาญาและแพ่ง อันเป็นความผิดตามกฎหมายบ้านเมือง นอกเหนือจากความผิดในองค์กรนั้นด้วย
ใน พ.ศ. 2549 ถึง 2551 ผู้เขียนได้มีโอกาสไปเป็นสมาชิกรัฐสภา ในตำแหน่งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ แม้จะเป็นสภาที่มาจากการแต่งตั้งโดยคณะรัฐประหาร แต่ในรัฐธรรมนูญก็เขียนไว้ว่า ให้สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติทำหน้าที่ทั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา บทบาทหน้าที่จึงมีมากเป็นสองเท่า แต่กระนั้นก็มีสมาชิกที่ “ขี้เกียจ” อยู่จำนวนมาก โดยเฉพาะพวกข้าราชการ จำเพาะอย่างยิ่งในหมู่นายทหาร ข้อมูลเหล่านี้ผู้เขียนเคยรู้มาตั้งแต่ครั้งที่เรียนปริญญาโทที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อ พ.ศ. 2525 - 2528 โดยได้ฟังเล็กเชอร์ของท่านศาสตราจารย์ชัยอนันต์ สมุทวณิช ที่ท่านบอกว่าท่านได้ศึกษาเปรียบเทียบการทำงานของสมาชิกรัฐสภาไทย ระหว่างสมาชิกที่มาจากการแต่งตั้งกับสมาชิกที่มาจากการเลือกตั้ง พบว่ามีความขี้เกียจ “พอ ๆ กัน”
ท่านอาจารย์ชัยอนันต์เป็นนักวิชาการที่มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่งในยุคสมัยของผู้เขียน ท่านได้รับตำแหน่งศาสตราจารย์ตั้งแต่อายุย่าง 30 ปี มีผลงานทางวิชาการมากมาย แต่ที่น่าสนใจที่สุดก็คืองานเกี่ยวกับการเมืองการปกครองไทย ตอนที่ผู้เขียนเข้าเรียนปริญญาตรีในคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อ พ.ศ. 2519 ท่านได้งานวิจัยเรื่องการพัฒนาระบบงานรัฐสภา ท่านได้นำเนื้อหาบางส่วนมาบรรยายในชั้นเรียน ผู้เขียนยังจำได้ว่าท่านวิจารณ์ระบบราชการว่าเป็นตัวถ่วงรั้งความก้าวหน้าของระบบงานรัฐสภา โดยเฉพาะการเอาความอืดอาดล่าช้าและกฎระเบียบมากมายมาใช้ในกระบวนการทำงานของรัฐสภา ท่านได้เสนอให้สมาชิกรัฐสภามีระบบ “ผู้ช่วยผู้ดำเนินงานของ สส. และ สว.” จนเมื่อผู้เขียนมาเรียนปริญญาโทท่านก็บอกว่ากำลังสำเร็จแล้ว ต่อมาเมื่อผู้เขียนได้ไปเป็นอาจารย์ประจำในสาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ใน พ.ศ. 2531 ทางรัฐสภาก็ได้ให้มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช จัดทำหลักสูตรการฝึกอบรมแก่ผู้ช่วยผู้ดำเนินงานของ สส. และ สว. เป็นรุ่นแรก และได้ทำมาประมาณ 2 ปี กระทั่งรัฐสภาได้รับไปดำเนินการเองในปีต่อ ๆ มา ซึ่งในปัจจุบันผู้ช่วยดำเนินงานของ สส. และ สว. อันประกอบด้วย ฝ่ายเลขานุการ 5 คน ที่ปรึกษา 1 และผู้เชี่ยวชาญ 1 รวมเป็น 7 คนนี้ ก็ยังมีอยู่ โดยที่ สส.และ สว.หลายคนก็ได้ใช้เป็นประโยชน์เป็นอย่างดี (แต่ก็มี สส.และ สว.จำนวนหนึ่ง ที่ยังจ้างเอาลูกหลาน ญาติ ๆ คนใกล้ชิด และ “เด็กฝาก” เข้ามาทำงาน)
ที่กล่าวอ้างถึงท่านอาจารย์ชัยอนันต์ขึ้นมา ก็เพราะท่านเป็นนักวิชาการที่มีความกล้าหาญ ที่กล้ากล่าวถึงความเกียจคร้านของสมาชิกรัฐสภา โดยที่ไม่ได้กล่าวหาหรือวิจารณ์ “พล่อย ๆ” แต่ยังได้ศึกษาวิจัยหาวิธีการแก้ไขจนได้ผลพอสมควร ยิ่งไปกว่านั้นในครั้งที่ผู้เขียนเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติใน พ.ศ. 2549 ท่านก็ได้เป็นสมาชิกฯอยู่ด้วย ผู้เขียนจึงได้เจอท่านอยู่บ่อย ๆ และได้เอ่ยถึง “ความเกียจคร้าน” ของพวกข้าราชการที่มาเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติว่า น่าจะรักษาไม่หาย แล้วจะแก้ไขอย่างไรดี
ผู้เขียนในฐานะเลขานุการคณะกรรมาธิการติดตามงบประมาณของสภาตอนนั้น ได้ทำหนังสือถึงท่านประธานรัฐสภา คือนายมีชัย ฤชุพันธุ์ เสนอให้มีการใช้ “โทรทัศน์วงจรปิด” ถ่ายทอดการประชุมของกรรมาธิการชุดต่าง ๆ นอกจากที่ได้ถ่ายทอดสดการประชุมของสภาเต็มคณะนั้นเป็นประจำอยู่ทุกสัปดาห์ แต่ก็มีปัญหาว่าไม่ได้ตั้งงบประมาณไว้ จึงขอตั้งงบประมาณเพิ่มในปีต่อมา แต่ก็ไม่ได้รับการอนุมัติ ความจริงผู้เขียนคิดที่จะถ่ายทอดหรือบันทึกเทปกิจกรรมในการลงพื้นที่ที่สำคัญ ๆ ของสมาชิกสภาด้วย (ในลักษณะการถ่ายทำ Reality Show ที่กำลังนิยมกันในยุคนั้น) แต่ก็ขาดความพร้อมหลายด้าน ความคิดทั้งหมดนี้ก็เพื่อ “กระตุ้น” ให้สมาชิกสภา “ขยันขึ้น” เพื่อที่ประชาชนจะได้รับรู้ว่าสมาชิกสภาคนไหน “ทำงานหรือไม่ทำงาน” ซึ่งจะเป็นทั้งการ “สรรเสริญ” และ “สาปแช่ง” ไปพร้อม ๆ กัน
ที่รำพึงรำพันถึงความหลังมานี้ ก็เพราะในทุกวันนี้ระบบรัฐสภาไทยก็ยังไม่พัฒนาไปถึงไหน โดยมีนายทหารใหญ่คนหนึ่งที่ทำตัวเป็นแบบอย่างที่ไม่ดี หรืออาจจะเป็นด้วย “เคยใหญ่” จนเป็นนิสัยถาวร หรือโตมาจนอายุมากใครสั่งสอนก็ไม่ได้ บุพการีที่เคยสั่งสอนก็ลาโลกไปหมดแล้ว ซึ่งมีคนบอกว่าแกไม่ยี่หระหรอก เพราะเรื่องขาดประชุมมาก ๆ ก็เคยมีตัวอย่างแล้ว ว่าสภาก็เอาผิดอะไรไม่ได้ โดยสมาชิกสภาคนนั้นก็เป็นทหารใหญ่เหมือนกัน และ “ใหญ่มาก ๆ” เสียด้วย เพราะเป็นถึงน้องชายของอดีตนายกรัฐมนตรีคนที่น่ารักอดีตนายทหารที่เพิ่งลงจากตำแหน่งไป ไม่เพียงแต่จะไม่ค่อยเข้าประชุมหรือทำงานให้กับสภา แต่ยังไปหากินข้างนอก ใช้อิทธิพลให้เครือญาติทำธุรกิจเอาเปรียบคนอื่น ๆ อีกด้วย
สิ่งเหล่านี้เป็นปัญหาทางจริยธรรมแน่นอน ซึ่งบรรดานายทหารใหญ่ ๆ อาจจะคิดว่าเป็นแค่ “เรื่องจิ๊บจ๊อย” แต่ถ้าในทางการเมืองการปกครองแล้วเป็นเรื่องใหญ่มาก อาจจะถึงขนาดที่เรียกได้ว่าเป็น “สงคราม” เพราะสังคมรอบด้านกำลังรุมกระหน่ำไปยังคนที่มีปัญหาในเรื่องนี้ และถ้าองค์กรที่รับผิดชอบ ตั้งแต่รัฐสภาไปจนถึงองค์กรตรวจสอบทั้งหลาย ไม่ร่วมสู้รบกับสงครามในครั้งนี้ สังคมไทยก็จะสู้รบกันเองไปอย่างไม่รู้สิ้นสุด
ถ้าระดับชาวบ้านเขาเรียกว่า “เชือดไก่ให้ลิงดู” แต่นี่ระดับมหาอำมาตย์ ก็น่าจะเรียกว่า “เชือดครุฑให้มนุษย์ดู” สังคมก็จะน่าอยู่ยิ่งขึ้น