หลายแนวรบที่จ่อเข้าประชิด “นายกฯหญิง” แพทองธาร ชินวัตร ผู้นำรัฐบาลคนใหม่ เริ่มขยับเข้าสู่ความเข้มข้นมากทุกขณะ ทั้ง “นิติสงคราม” เมื่อ “นักร้อง” จากสารพัดค่าย เข้ายื่นคำร้องให้มีการตรวจสอบ นายกฯแพทองธาร ไปจนถึง “4 พรรคร่วมรัฐบาล” ที่ถูกดึงเข้ามาสู่จุดอันตรายด้วยการยื่น “ยุบพรรค” ตามมา 
    
และล่าสุดยังพบว่า ความเคลื่อนไหวในภาคสนาม กำลังมีความพยายามก่อตัวขึ้น เพื่อกดดัน นายกฯแพทองธาร ,รัฐบาลใหม่ ไปจนถึงตัว “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯคนที่ 23 ด้วยการปลุกกระแสต่อต้านระบอบทักษิณ ที่พวกเขาเชื่อว่ากำลังจะ “ฟื้นคืนชีพ” กลับมาพร้อมๆกับการเดินหน้าครม.ใหม่ ที่มี “ลูกสาว” เป็นนายกฯคนใหม่ 
    
ในวันที่ 17 ก.ย.นี้ กลุ่มเครือข่ายต้านระบอบทักษิณ ออกมาเคลื่อนไหว พร้อมทั้งนัดรวมตัวเดินไปทำเนียบรัฐบาล ซึ่งเป็นห้วงเวลาสัปดาห์หน้าที่นายกฯแพทองธาร จะเริ่มเข้าทำงานที่ทำเนียบฯอย่างเป็นทางการ     โดย “พิชิต ไชยมงคล”  แกนนำเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) ออกมาระบุว่า ในวันดังกล่าวกลุ่มคปท. ไม่ได้ไปชุมนุมแต่จะยื่นหนังสือท้วงติงรัฐบาลตามสิทธิ์ของประชาชน รวมทั้งยังมีคำถามที่จะต้องถามนายกฯแพทองธาร ในฐานะนายกรัฐมนตรีในการตรวจสอบข้าราชการ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ หรือนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ  จากกรณี ทักษิณ “ติดคุกทิพย์” ซึ่งยังไม่มีความคืบหน้า
    
อย่างไรก็ดี การเคลื่อนไหวของม็อบต้านระบอบทักษิณ  แม้ไม่ได้มีเพียง กลุ่มคปท.ที่เคยปักหลักกันมาก่อนหน้านี้ ตั้งแต่ช่วงรัฐบาล “เศรษฐา ทวีสิน” มาแล้ว แต่ในขณะนั้น “ความแรง” ของม็อบยังไม่มี “เหตุ” และ “ปัจจัย” มากพอ 
    
แต่เมื่อเวลานี้ ทักษิณ ส่งลูกสาวมาเป็นนายกฯ ท่ามกลางเสียงโจมตีและข้อร้องเรียนจากบรรดา “นักร้องเรียน” ที่ยื่นไปยัง “องค์กรอิสระ” ต่างๆ มีขึ้นอย่างต่อเนื่อง  จนทำให้ถูกมองจากฝ่าย “ต่อต้านทักษิณ” ว่านี่อาจเป็น “ชนวน” ที่จะนำไปสู่การสะสมความรู้สึกไม่พอใจของผู้คนในสังคมได้มากพอ จนทำให้ม็อบมีพลังมากพอ ที่จะออกมาเคลื่อนไหวได้ 
    
ทั้งนี้ในความเป็นจริงแล้ว แม้จะมีความวิตกกังวลจากนายกฯแพทองธาร ไปจนถึงรัฐมนตรีในครม.ต่อปัญหาทางการเมือง แต่พวกเขากลับไม่ได้ให้น้ำหนักต่อการเคลื่อนไหวของม็อบมากนัก เนื่องจากด้วยสถานการณ์ภาวะเศรษฐกิจที่กระทบทุกฝ่ายถ้วนหน้า ทุกระดับ จนทำให้ผู้คนให้ความสำคัญกับเรื่องของปากท้อง รอฟังความชัดเจนโครงการแจกเงินหมื่น ผ่านดิจิทัลวอลเล็ตด้วยใจจดจ่อแล้ว 
    
ยังประเมินได้ไม่ยากเมื่อมองเห็นหน้าตาครม.ใหม่ ที่ประกอบไปด้วย พรรคการเมืองจากทุกเสื้อสี ที่เคยบาดหมาง ยืนอยู่ตรงกันข้ามกัน แต่วันนี้เขาเหล่านั้นกลับยืนอยู่ในฝั่งเดียวกันทั้งหมดแล้ว นั่นหมายความว่า พรรคการเมือง กลุ่มการเมืองที่มี “ทุน” ทั้งกำลังคนและ “น้ำเลี้ยง” ที่จะมาสนับสนุนนั้นคงไม่มีการขยับกันอีกต่อไป !