ในขณะที่หลายหน่วยงานบูรณาการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกหลวงทางออนไลน์ เริ่มมีแนวโน้มไปในทิศทางที่ดี โดยเฉพาะการตัดช่องทางการสื่อสาร ด้วยยุทธการระเบิดสะพานโจรที่ชายแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้าน ปราบปรามการใช้ซิมบอกซ์

 แต่ก็ยังคงพบความพยายามที่จะลักลอบนำสายไฟเบอร์ออปติก (Fiber Offtic) และ สายเคเบิ้ล(Wiring Cable) ข้ามไปยังฝั่งประเทศเมียนมาโดยล่าสุด ทหาร ฉก.ราชมนู ชุดร้อย.ร.431 ร่วมกับ ฝ่ายปกครองอำเภอแม่สอด , ตำรวจตระเวนชายแดนที่ 346 และชุดปฏิบัติการข่าว กองกำลังนเรศวร ร่วมกันจัดกำลังพลลาดตระเวนและเฝ้าตรวจริมแม่น้ำเมย ตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา บริเวณหมู่ที่ 3 บ้านแม่กื้ดใหม่ ตำบลแม่กาษา อ.แม่สอด จ.ตาก ระหว่างลาดตระเวนได้ตรวจพบการลักลอบนำสายไฟเบอร์ออปติก (Fiber Offtic) และ สายเคเบิ้ล(Wiring Cable) ข้ามไปยังฝั่งประเทศเมียนมาและได้จับกุมผู้ต้องสงสัย พร้อมอุปกรณ์ได้ 11 รายการ ขณะกำลังต่อก้านเครื่องเจาะอยู่บริเวณริมแม่น้ำเมย ชุดจับกุมจึงควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยและอุปกรณ์ดังกล่าวให้ตำรวจไซเบอร์เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

จะเห็นได้ว่าตำรวจ ทหาร และหน่วยงานด้านความมั่นคงตามแนวชายแดน ที่นอกจากจะทำหน้าที่ด้านความมั่นคงแล้ว ปัญหายาเสพติด และปัยหาลักลอบตัดไม้ทำลายป่าแล้ว ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ก็กลายเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่ต้องเข้าม่าวยสอดส่องดูแล 

ขณะเดียวกันฟากของธนาคารแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย และธนาคารสมาชิก เริ่มปฏิบัติการยกระดับจัดการบัญชีม้าจากระดับ "บัญชี" เป็น "บุคคล" ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2567 ที่ผ่านมาเพื่อไม่ให้ระบบธนาคารเป็นเครื่องมือของมิจฉาชีพในการรับส่งเงินที่ได้จากการหลอกลวงประชาชน  โดย ดำเนินการป้องกันทั้งบัญชีม้าที่จะเปิดใหม่ และการขยายผลตรวจจับบัญชีม้าที่มีอยู่เดิม โดยใช้ข้อมูลจากสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) รวมถึงข้อมูลการแจ้งเหตุผ่านระบบ CFR ของภาคธนาคารและการรับแจ้งความของเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยแต่ละธนาคารนำข้อมูลรายชื่อบุคคลดังกล่าวมาดำเนินการอย่างเข้มงวด เช่น พิจารณาระงับการใช้งานบัญชีในรายชื่อนั้นทั้งหมดทันที รวมถึงจะพิจารณาไม่อนุญาตให้เปิดบัญชีใหม่ โดยปัจจุบันภาคธนาคาร (ธนาคารพาณิชย์ ธนาคารรัฐ และธนาคารนานาชาติ) ได้ดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวไปแล้วกว่า 15,000 รายชื่อ (ข้อมูลที่ถูกรายงานเข้าระบบ CFR ตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2566 จนถึงปัจจุบัน ประมาณ 9 เดือน)

พร้อมกันนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทยและธนาคารสมาชิก ได้ขอให้ประชาชนตระหนักถึงผลกระทบจากการยอมให้ผู้อื่นใช้บัญชีของตนเป็นบัญชีม้า ทั้งบัญชีเดิมหรือกำลังจะเปิดเพิ่มเติมใหม่ว่า มีโทษอาญาตามกฎหมาย รวมทั้งผลจากมาตรการที่เข้มงวดของภาคธนาคาร เช่น การพิจารณาระงับการใช้งานบัญชีทั้งหมดทันที รวมถึงจะพิจารณาไม่อนุญาตให้เปิดบัญชีใหม่ ซึ่งจะกระทบการใช้บริการทางการเงินของบุคคลดังกล่าวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

อย่างไรก็ตาม จากมาตรการต่างๆที่ทุกภาคส่วนดำเนินการทั้งป้องกันและปราบปรามอย่างเข้มข้นจริงจัง แต่ตราบใดที่ประชาชนบางส่วนยังไม่ตระหนักถึงภัยร้ายของอาชญากรรมออนไลน์ เพียงเพราะไม่ได้เกิดกับตนเองและญาติพี่น้อง ก็ยังคงมีช่องให้ลักลอบกระทำผิดได้อีก ฉะนั้นประชาชน ชุมชนต้องช่วยกันสแกน ที่สำคัญบุคลากรในภาครัฐ และภาคเอกชนที่มีส่วนเกี่ยวข้องเอง ต้องตรวจสอบกันเองด้วย ช่วยกันสกรีนไม่ปล่อยให้มีใครเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับอาชญากรรมดังกล่าว เป็นปลาเน่าที่ทำให้เหม็นไปทั้งข้อง