ไม่มีใครคาดคิด แม้แต่อดีตพรรคก้าวไกลเองว่าจะได้เสียงข้างมากจากการเลือกตั้งเมื่อปี 2566 อันเป็นที่มาของการเคลม 14 ล้านเสียงของประชาชน
แต่ 14 ล้านเสียงนั้นไม่ได้มีการผลการศึกษาและข้อมูลหลักฐานใดรองรับว่า เลือกพรรคก้าวไกลเพราะนโยบายแก้ไขมาตรา 112 เพราะในการรณรงค์หาเสียงของพรรคมีถึง 300 นโยบายเปลี่ยนประเทศ ดังนั้นจะเคลมว่า 14 ล้านเสียงนั้นเลือกพรรคก้าวไกลมาเพื่อแก้ไขมาตรา 112 ไม่ได้เช่นกัน
ที่ผ่านมาพรรคก้าวไกลกอดมาตรา 112 เอาไว้แน่น แม้ในการจัดทำข้อตกลงจัดตั้งรัฐบาล8พรรคจะไม่ได้บรรจุเอาไว้ แต่ก็ยังเปิดช่องการแก้ไขมาตรา 112 เป็น “วาระเฉพาะ” ของก้าวไกลที่จะผลักดันเป็น 1 ใน 45 ร่างกฎหมายที่เตรียมยื่นต่อสภาผู้แทนราษฎร
แม้จะมีการคาดการณ์ว่า หากเสนอเข้าสภาฯจริง มีโอกาสที่จะถูกตีตกสูง เพราะร่างกฎหมายของพรรคก้าวไกลนั้นย้ายออกจากหมวดความมั่นคงและมีการปรับเพดานอัตราโทษลงมาก ฉะนั้น การเสนอแบบสุดโต่งนี้ทั้งที่รู้ว่าจะไม่ผ่านสภาผู้แทนราษฎรแล้วเหตุใดยังมีการเสนอร่างแก้ไขดังกล่าวนั้น ทำให้อ่านเจตนาได้เพียงหวังผลผลักดันให้เรื่องนี้เข้าสู่เวทีของสภาฯ เพื่อที่จะได้อภิปรายกันโดยได้รับความคุ้มครองด้านกฎหมายเพียงเท่านั้นหรือไม่
กระนั้น การยืนกรานของพรรคก้าวไกลที่กอดเอามาตรา 112 เอาไว้ ทำให้สมาชิกวุฒิสภาชุดเฉพาะกาลในขณะนั้น อ้างเป็นเหตุในการลงมติเลือกนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรี ทำให้ไม่สามารถฝ่าด่านเป็นนายกรัฐมนตรีได้ และติดล็อกถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ สส.จากการเสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และใช้เป็นนโยบายหาเสียงในเวลาต่อมาทำให้ต้องยอมถอนตัวจากข้อตกลงจัดตั้งรัฐบาล8พรรค
กระทั่งเดือนมกราคม 2567 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติชี้ว่าการเสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และใช้เป็นนโยบายหาเสียงของนายพิธา และพรรคก้าวไกล เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข พร้อมสั่งยุติการกระทำ พรรคก้าวไกลจึงลบนโยบายดังกล่าวจากเว็บไซต์ ที่หลายฝ่ายมองว่า เป็น “สารตั้งต้น”ของคำสั่งยุบพรรคเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2567 ที่ผ่านมา
ที่หากจะสรุปเช่นนั้น อาจสรุปง่ายเกินไป เนื่องจากการเสนอแก้ไขมาตรา 112 ของอดีตพรรคก้าวไกลนั้น หากย้อนไปดูเส้นทางจะพบว่าเป็นหนึ่งใน 10 ข้อเสนอ ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ 10 ข้อ เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2563 ของกลุ่มผู้ชุมนุมในนาม “คณะราษฎร”ที่เปิดให้ประชาชนใช้เสรีภาพแสดงความคิดเห็นต่อสถาบันกษัตริย์ได้ และนิรโทษกรรมผู้ถูกดำเนินคดีเพราะวิพากษ์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์
ถ้าวิเคราะห์อย่างสังเคราะห์ คือ “ผู้กำกับภาพยนตร์”ฉากเคลื่อนไหวของกลุ่มคณะราษฎรหรือไม่ ที่เป็น “สารตั้งต้น” ที่แท้จริงของการยุบพรรคก้าวไกล