คดีร้อน คดีใหญ่ทางการเมือง คดีที่ 2 ตามมาติด ๆ “ศาลรัฐธรรมนูญ” นัดฟังคำวินิจฉัย “คดีถอดถอน” ต้องลุ้นว่า “นายกฯนิด” เศรษฐา ทวีสิน จะได้ “ไปต่อ” หรือยุติบทบาท “นายกฯคนที่ 30” ลงเพียงเท่านี้ ในเวลาบ่ายสามโมง ศาลรัฐธรรมนูญจะมีมติออกมา
ตลอดห้วงเดือนที่ผ่านมา การเมืองไทยร้อนระอุไปแทบทุกหย่อมหญ้า เมื่อคดีความล้วนมีผลต่อการเปลี่ยนแปลง ทางใดทางหนึ่งตามมาเสมอ โดยเมื่อวันที่ 7 ส.ค.67 ที่ผ่านมา ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ “ยุบพรรคก้าวไกล” พร้อมทั้งตัดสิทธิรับสมัครเลือกตั้ง “กรรมการบริหารพรรค” ของพรรค เป็นเวลา 10 ปี ทำให้ “143สส.” ของก้าวไกลที่ยังเหลือชีวิตรอด ต้องย้ายเข้าบ้านหลังใหม่ในชื่อ “พรรคถิ่นกาขาวชาววิไล” ต่อมาเปลี่ยนมาใช้ชื่อ “พรรคประชาชน”
แต่วันนี้ คดีถอดถอน ที่กำลังรอการวินิจฉัยจากศาลรัฐธรรมนูญ น่าจะมีผลลัพธ์ที่กระทบกันเป็น “วงกว้าง” โดยหากศาลมีมติเสียงข้างมาก ชี้ว่า เศรษฐา มีอันต้องสิ้นสุดความเป็น “รัฐมนตรี” จะเท่ากับว่า เศรษฐา จะต้องพ้นจากนายกฯ รวมทั้ง ครม.ทั้งคณะไปด้วย และจุดนี้นี่เองที่จะนำมาซึ่ง “ความวุ่นวาย” ตามมาโดยไม่ต้องสงสัย
ทั้งการจับมือตั้งรัฐบาลกันใหม่หาก “พรรคร่วมรัฐบาล” ในเวลานี้ที่มีอยู่ “314เสียง” ไม่เหนียวแน่นจริง ไม่สามารถตกลงกันได้ว่า จะ “ไปต่อ” ด้วยกัน โดยให้ “เก้าอี้นายกฯ” ยังเป็นของพรรคเพื่อไทยต่อไป หรือควรที่จะ ให้มีการ โหวตใหม่ในชื่อ แคนดิเดตนายกฯจาก พรรคร่วมรัฐบาล ที่มีอยู่ทั้งหมด
ความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่เหมือนจะสงบแต่ไม่เงียบสงัด ! เพราะในระหว่างที่พรรคร่วมรัฐบาลรอฟังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญนั้น ยังมี “คลื่นแทรก” ด้วยการเปิดปมใหม่ ว่าด้วย “การปรับครม.” มีการปล่อยข่าวกันอุตลุต ทั้งรายการ “เช็กบิล” พรรคพลังประชารัฐ ของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ โทษฐานที่ กลุ่ม40 สว.ผู้ยื่นคำร้องให้ถอดถอนนั้นต่างใกล้ชิดกับหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ
หรือแม้แต่การจุดพลุว่าด้วย “สูตรตั้งรัฐบาลใหม่” ทั้งการดึง “ประชาธิปัตย์” เข้าร่วมหลังจากที่ปรับ พรรคพลังประชารัฐพ้นครม. แต่ก็ดูเหมือนว่าข่าวนี้จงใจ “ปล่อย” เพื่อ “เขย่า” บางพรรคในรัฐบาลด้วยกันเอง และเคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง
บรรยากาศทางการเมืองวันสุกดิบ ก่อนถึงวันที่ 14 ส.ค.นั้นเต็มไปด้วยความวุ่นวาย ต่างฝ่ายต่างวิ่งวุ่นกันจนฝุ่นตลบ แต่ทั้งนี้ ไม่ว่าคำวินิจฉัยจะออกมาในทางใด เศรษฐา จะรอด หรือ หลุดเก้าอี้นายกฯ ก็ใช่ว่า “แคนดิเดตนายกฯ” จากพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเอง หวังที่จะก้าวขึ้นมาทำหน้าที่ “นายกฯคนที่ 31” อยู่ดี !