มีการคาดการณ์ว่า คณะกรรมการนโยบายการเงินมีโอกาสที่จะตรึงดอกเบี้ย 2.50%ไปจนถึงสิ้นปี 2567 ด้วยปัจจัยการเติบโตทางด้านเศรษฐาและภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งแนวโน้มดังกล่าวนั้น ย่อมกระทบต่อบรรดาลูกหนี้รายย่อย และกลุ่มเปราะบางต่างๆ ที่แบกภาระเพิ่มขึ้น ทำให้หนี้ครัวเรือนเพิ่มสูง

แน่นอนเป้าที่ทุกฝ่ายจับจ้อง อยู่ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยซึ่งเห็นต่างจากรัฐบาล ที่ส่งสัญญาณกดดันเรื่องดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจมาเป็นระยะ

ล่าสุดธนาคารแห่งประเทศไทย โดย คณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน มีการปรับมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ในปัจจุบัน ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ยิ่งขึ้น ตามรายละเอียดด้านล่างนี้

1. การผ่อนชำระขั้นต่ำ (minimum payment) ของบัตรเครดิต

1.1 ผ่อนปรนอัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำของบัตรเครดิต โดยกำหนดให้ยังคงอยู่ที่ร้อยละ 8 ออกไปอีก 1 ปี จนถึงสิ้นปี 2568 จากเดิมที่กำหนดให้อัตราดังกล่าวกลับสู่เกณฑ์ปกติที่ร้อยละ 10 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568
1.2 ลูกหนี้ที่ผ่อนชำระหนี้ขั้นต่ำมากกว่าหรือเท่ากับร้อยละ 8 จะได้รับเครดิตเงินคืนเทียบเท่าดอกเบี้ยร้อยละ 0.5 ของยอดค้างชำระ สำหรับครึ่งปีแรก และร้อยละ 0.25 สำหรับครึ่งปีหลัง ของปี 2568 โดยได้รับคืนทุก 3 เดือน
1.3 ลูกหนี้ที่เดิมจ่ายขั้นต่ำที่ร้อยละ 5 แต่ไม่สามารถจ่ายได้ถึงร้อยละ 8 สามารถใช้สิทธิปรับโครงสร้างหนี้ก่อนเป็นหนี้เสีย โดยเปลี่ยนประเภทหนี้ของบัตรเครดิตไปเป็นสินเชื่อระยะยาว (term loan) เพื่อจ่ายชำระเป็นงวด โดยลูกหนี้จะยังมีโอกาสได้สภาพคล่องจากวงเงินบัตรเครดิตส่วนที่เหลือ

2. การรวมหนี้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่อรายย่อย (Debt Consolidation)

ธนาคารแห่งประเทศไทย ส่งเสริมให้สถาบันการเงิน (สง.) และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) ให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ด้วยการรวมหนี้บ้านและสินเชื่อรายย่อยได้มากขึ้น โดยผ่อนปรนเงื่อนไขอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยต่อมูลค่าหลักประกัน (loan-to-value ratio) ในทุกลำดับสัญญาสำหรับกรณีรวมหนี้ ให้สามารถเกินกว่าเพดานที่กำหนด โดยผู้ให้บริการที่เป็นผู้รวมหนี้ต้องดูแลให้ภาระของลูกหนี้ภายหลังการรวมหนี้บรรเทาลงกว่าก่อนรวมหนี้ โดยมาตรการดังกล่าวจะสิ้นสุดในปี 2568

และ3. การให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่มีปัญหาหนี้เรื้อรัง (Persistent Debt) ภายใต้หลักเกณฑ์การให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending)โดยขยายระยะเวลาการปิดจบหนี้จากภายใน 5 ปี เป็น 7 ปี (อัตราดอกเบี้ยไม่เกินร้อยละ 15 ต่อปีเท่าเดิม) โดยมาตรการจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 มกราคม 2568 เป็นต้นไป

กระนั้น เราคาดหวังว่า มาตรการดังกล่าวจะช่วยแก้ไขปัญหาให้กับลูกน้อง ตอบโจทย์เศรษฐกิจ การพัฒนาประเทศไทยและปากท้องของพี่น้องประชาชน