เปิดตัวไปได้ยังไม่ทันครบ 7วัน ปรากฏว่าบรรยากาศโดยรอบ “พรรคประชาชน” กำลังจะกลับมาร้อนระอุรอบใหม่
ภายหลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำสั่ง “ยุบพรรก้าวไกล” ไปเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2567 ที่ผ่านมา พร้อมด้วยกรรมการบริหารพรรค ถูกตัดสิทธิ เป็นเวลา 10 ปี แต่ดูเหมือนว่าในความหวั่นไหว ของพรรคก้าวไกล แต่พวกเขาอาจไม่ได้หวาดวิตกมากนัก เนื่องจาก ได้เตรียมการเอาไว้รองรับอยู่แล้วทั้งการพา “143สส.” ที่รอดชีวิต จากคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ เข้าพรรคใหม่ คือ พรรคถิ่นกาขาวชาววิไล ก่อนจะเปลี่ยนชื่อมาเป็นชื่อใหม่ ในนาม พรรคประชาชน
ตามมาด้วยการเปิดตัว “แม่ทัพชุดใหม่” ที่นำโดย “ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ” ทำหน้าที่หัวหน้าพรรคคนใหม่ ตามมาด้วย “ศรายุทธ ใจหลัก” นักคิดที่เคยอยู่เบื้องหลัง ต้องโดดลงมาออกหน้า รับบท “เลขาธิการพรรค”
แน่นอนว่าการเปิดเกมเร็วของพรรคก้าวไกล หลังจากการยุบพรรคเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม จากนั้นไม่กี่ชั่วโมงต่อมา การเปิดตัวทั้งชื่อพรรคใหม่ เกิดขึ้นทันที นัยว่า เพื่อตอบโต้ “กลุ่มอำนาจเก่า” ที่พวกเขาเชื่อว่ามีส่วนทำให้พรรคก้าวไกลถูกยุบพรรคแล้ว
อีกทางหนึ่ง ยังเป็นความจงใจ ของพรรคก้าวไกล และ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ประธานคณะก้าวหน้า ในฐานะเจ้าของพรรคตัวจริง ต้องการ “ปิดประตู” สกัดไม่ให้ สส.ของพรรคก้าวไกล “ไหลออก” ไปอยู่กับพรรคฝั่งตรงข้าม ไม่ว่าจะเป็นพรรคพลังประชารัฐ หรือพรรคภูมิใจไทย ที่เคยมีข่าวมาก่อนหน้านี้ เพราะไม่เช่นนั้นจะเท่ากับว่าพรรคได้สูญเสีย ความเป็นเป็น “ก้าวไกล” และสส. เมื่อทัพแตก เท่ากับรับศึกหลายทางในคราวเดียวกัน
แต่ปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นตามมา จ่อถล่มพรรคประชาชน เมื่อแกนนำพรรคยังคงชูจุดยืน ยึดอุดมการณ์ เดินหน้าแก้ไข มาตรา 112 ต่อไป ทั้งที่พรรคก้าวไกลเพิ่งถูกยุบ สืบเนื่องจากการแตะมาตรา 112 จนทำให้ มีคำถามว่าเหตุใด จึงเลือกที่จะเล่นในเกมที่สุ่มเสี่ยงเช่นนี้
เท่ากับว่า พรรคประชาชน เลือกที่จะชูมาตรา 112 ต่อไป จะด้วยเพราะมั่นใจว่านี่คือ “จุดแข็ง” ที่จะทำให้พรรคยึดครองความนิยม และจะยืนระยะในการต่อสู้ จนถึงสนามเลือกตั้งในปี 2570 เชื่อว่าจะสามารถกวาดที่นั่งสส. เข้ามาได้เป็นพรรคอันดับหนึ่ง จัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้สำเร็จ ไม่ต้องง้อ พรรคใดๆ
ทั้งนี้ โอกาสที่พรรคประชาชน จะประคับประคองตัวเองไปได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่ กำลังจะกลายเป็นข้อพิสูจน์ “ตายสิบเกิดแสน” จริงหรือไม่ หรือโอกาสที่พรรคจะถูกยุบเป็นรอบที่สาม จะมีขึ้น เมื่อถึงเวลาอันเหมาะสม !?