วันที่ 7 สิงหาคมของทุกปี เป็นวันสำคัญของกระบวนการยุติธรรมของไทย ด้วยเป็นวันคล้ายวันสิ้นพระชนม์ของ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ผู้ทรงได้รับการยกย่องให้เป็น "พระบิดาแห่งกฎหมายไทย" เนื่องจากพระองค์ทรงเป็นนักนิติศาสตร์ ที่มีบทบาทในการวางระบบแบบแผน ศาลยุติธรรม พัฒนาข้อกฎหมายไทยให้ทัดเทียมกับอารยประเทศ รวมถึงทรงจัดตั้งโรงเรียนกฎหมายขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย
วันที่ 7 สิงหาคมปีนี้ สังคมเฝ้าติดตามคดีสำคัญในกระบวนการการยุติธรรม และการเมืองไทย คือ คดีที่นายทะเบียนพรรคการเมืองยื่นคำร้องกรณีมีหลักฐานอันควรเชื่อว่าพรรคก้าวไกล มีพฤติการณ์กระทำการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเข้าลักษณะกระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อันเป็นเหตุแห่งการยุบพรรค ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 92 วรรคหนึ่ง (1) และ (2) ผลจะออกมาอย่างไร
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ในเดือนมกราคม ศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่า การที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพรรค ก้าวไกล เสนอเรื่องการแก้ไขมาตรา 112 เป็นนโยบายหาเสียงเลือกตั้ง เป็นการใช้นโยบายทางการเมืองโดยนำสถาบันฯ ลงมาเพื่อหวังผลในการได้คะแนนเสียงและประโยชน์ในการชนะการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นผลทำให้สถาบันฯ ตกเป็นคู่ขัดแย้งกับประชาชน จึงถือว่ามีเจตนาเซาะกร่อนบ่อนทำลายที่อาจนำไปสู่การล้มล้างการปกครองฯ ได้ในที่สุด
“การเสนอกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 112 เพื่อลดสถานะของสถาบันกษัตริย์ เป็นนโยบายหาเสียงเลือกตั้ง และยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เป็นการใช้นโยบายทางการเมือง โดยนำสถาบันพระมหากษัตริย์ลงมาเพื่อหวังผลคะแนนเสียง และประโยชน์ในการชนะการเลือกตั้ง มุ่งหมายให้สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ในฐานะคู่ขัดแย้งกับประชาชน ทำให้สถาบันกษัตริย์ต้องเข้าไปเป็นฝักฝ่าย ต่อสู้ แข่งขัน รณรงค์ทางการเมือง อันอาจจะนำมาซึ่งการโจมตีติเตียน โดยไม่คำนึงถึงหลักการสำคัญของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งมีหลักสำคัญว่า พระมหากษัตรย์ต้องดำรงฐานะอยู่เหนือการเมืองและความเป็นกลางทางการเมือง...
การที่ผู้ถูกร้องทั้งสอง (พิธาและพรรค ก.ก.) เสนอร่างแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายอาญามาตรา 112 และใช้เป็นนโยบายพรรคในการหาเสียงเลือกตั้งดังกล่าว มีเจตนาเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นเหตุให้ชำรุดทรุดโทรม เสื่อมทราม หรืออ่อนแอลง นำไปสู่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขในที่สุด”