ภาพเพียง ภาพเดียวสามารถสร้าง “แรงกระทบ” ได้ชัดเจน โดยไม่ต้องอธิบาย !

เย็นวันที่ 4 ส.ค.67 ที่ผ่านมา “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา องคมนตรี พร้อมภริยา ได้ไปร่วมงานศพ มารดา “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี ที่วัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร ทั้งสองทักทาย โอภาสปราศรัย โดยที่ฝ่ายนายกฯเศรษฐา ให้การต้อนรับทั้งในฐานะเจ้าภาพและในฐานะ ผู้น้อย

แน่นอนว่าการมาร่วมฟังสวดพระอภิธรรมศพ มารดาของ นายฯเศรษฐา  นับเป็นแสดงมุฑิตาจิต แต่ในขณะเดียวกัน การปราฎตัวของพล.อ.ประยุทธ์ ในจังหวะที่การเมืองกำลังเข้าสู่จุดเข้มข้น ในห้วงที่เพิ่งมีเสียงเรียกร้อง ผ่านเพลง “คิดถึงลุงตู่” จึงดูเป็นเรื่องยาก ที่จะไม่ถูกจับตา

การพบกันระหว่าง บิ๊กตู่ กับนายกฯเศรษฐา และมีภาพออกสู่สาธารณะ ครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่สอง โดยครั้งแรกมีขึ้นภายหลังจากที่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง เศรษฐา เป็นนายกฯคนที่ 30 ในวันที่ 23 ส.ค.2566

 จากนั้นวันรุ่งขึ้น  เศรษฐา เดินทางเข้าทำเนียบรัฐบาลเมื่อวันที่ 24 ส.ค.2566  ในวันที่พล.อ.ประยุทธ์ ยังปฏิบัติหน้าที่ นายกฯคนที่ 29 โดยเป็นการไปพบเพื่อเข้ารับคำแนะนำ “รับไม้ต่อ”  และยังถูกมองว่าเป็นการไปขอบคุณ ที่ “152สว.” ในขณะนั้น “ยกมือโหวต” หนุนให้เศรษฐา ผ่านฉลุยได้เป็นนายกฯคนที่ 30 ซึ่งว่ากันว่า 152 สว.นั้นก็มาจาก “อานุภาพ” ของ “ลุงตู่” ในคราวนั้น

ล่าสุด นายกฯเศรษฐา เปิดเผยกับสื่อถึง “สาระ” ในการพูดคุยกันระหว่างที่บิ๊กตู่ มาร่วมฟังสวดศพที่วัดเทพศิรินทร์ฯ ว่า ตนได้รับความเมตตา และกำลังใจจากบิ๊กตู่ในเรื่องของการทำงาน รวมทั้งพล.อ.ประยุทธ์ ยังถามการทำงานของ “รัฐมนตรี” จาก “พรรครวมไทยสร้างชาติ”

 “ ท่านบอกให้อดทน และท่านเป็นกำลังใจให้ และท่านก็ฝากผมกับพรรครวมไทยสร้างชาติ บอกให้ช่วยซึ่งกันและกัน ซึ่งก็เป็นความเมตตา”  (5 ส.ค.67)

พลานุภาพของพล.อ.ประยุทธ์ วันนี้ดูเหมือนว่าไม่ได้ลดลง แต่อย่างใด แม้ได้ลดบทบาทในทางการเมือง ด้วยมีสถานะใหม่ที่สำคัญไปแล้วก็ตาม แต่ตราบใด “การเมืองยังไม่นิ่ง” ยังมีปัจจัยและเงื่อนไข หลายปมที่เชื่อมโยงเกี่ยวพันกัน

รวมทั้งยังมี “คดีใหญ่” รออยู่เบื้องหน้า ตามไทม์ไลน์ตลอดเดือนส.ค. ทั้งคดียุบพรรคก้าวไกล คดีถอดถอนนายกฯเศรษฐา และคดีมาตรา 112 ที่มี “ทักษิณ ชินวัตร” ตกเป็นจำเลย ทุกคดีความล้วนแล้วแต่จะนำไปพาไปสู่ “จุดพลิกผัน”ทางการเมืองได้ทุกเมื่อ !