ว่ากันว่า ความต้องการที่แท้จริงของ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี คนที่ 23 อาจไม่ได้อยู่วันที่ 22 สิงหาคม นี้ที่ได้พ้นโทษอย่างเป็นทางการ หากแต่อยู่ที่การลุ้นระทึก คดีใหญ่อย่าง คดีมาตรา 112 เพราะคดีนี้มีความสุ่มเสี่ยง เนื่องจากมีความเปราะบาง ด้วยในความผิดในข้อหา หมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์
ล่าสุดมีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจเมื่อศาลอาญา ตีตกคำร้อง ที่ทักษิณ ขอเดินทางออกนอกราชอาณาจักร ไปประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือดูไบ ซึ่งทักษิณ ให้เหตุผลในคำร้อง ว่าประสงค์เดินทางออกนอกราชอาณาจักร ไปพำนักที่ดูไบ เพื่อพบแพทย์ ระหว่างวันที่ 1-16 ส.ค.นี้ ซึ่งเคยเป็นแพทย์ที่เคยตรวจรักษาอาการป่วยของทักษิณ เกี่ยวกับปอดอักเสบเรื้อรัง ระบบหายใจและหลอดเลือดหัวใจ เอ็นไหล่ขวาฉีกขาด และหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อน ในสถานพยาบาล ที่ประเทศสหรัฐอาหรับ เอมิเรตส์ ในวันที่ 2 เเละ 8 ส.ค.67
นอกจากนี้ในคำร้องทักษิณ ในฐานะจำเลย ยังระบุด้วยว่า เขาเองมีนัดหมายกับบุคคลสำคัญหลายคน มีภารกิจส่วนตัวหลายเรื่อง และจะเดินทางกลับประเทศไทยก่อนวันนัด คือวันที่ 19 ส.ค.เวลา 09.00 น. โดยเป็นนัดตรวจพยานหลักฐาน
แต่ปรากฏว่า ศาลมีความเห็นให้ “ยกคำร้อง” !! โดยให้เหตุผลว่า “อาการป่วยของจำเลยเป็นโรคที่เกิดแก่บุคคลทั่วไป และแพทย์ในประเทศไทย ตรวจรักษาเป็นประจำอยู่แล้ว การเดินทางไปพบบุคคลสำคัญของจำเลยเป็นเรื่องส่วนตัวของจำเลย
ทั้งไม่มีพยานหลักฐานยืนยันชัดแจ้งถึงความจำเป็นดังกล่าว ประกอบกับช่วงระยะเวลาที่เดินทางใกล้กับวันนัดตรวจพยานหลักฐานในชั้นนี้ จึงไม่สมควรอนุญาตให้จำเลยเดินทางออกนอกราชอาณาจักรยกคำร้อง”
ปมปัญหาความผิดในคดีมาตรา 112 คือ “เรื่องใหญ่” ที่ทั้งตัวทักษิณ และทุกคนต่างรู้ดีว่านี่คือ “ชนักติดหลัง” ที่เขาเอง ยากที่จะ “ผงาด” ได้ชนิดสุดตัว ตามที่พยายาม “แสดง” ให้ทุกขั้วอำนาจได้เห็น เพราะการที่ทักษิณ เคยให้สัมภาษณ์สื่อเกาหลี และมีการพาดพิงสถาบัน เมื่อ วันที่ 9 พ.ย.2558 ซึ่งเป็น “ที่มา” ของเหตุแห่งคดี และที่สำคัญคดีนี้ ยังมีอายุความ 15 ปี คดีจะไปสิ้นสุด ในปี 2573
การยื่นคำร้องขอเดินทางออกนอกประเทศของทักษิณ ครั้งนี้ มีขึ้นก่อนถึงวันที่ศาลนัดหมาย ในวันที่ 19 ส.ค.67 และทำให้ศาลยกคำร้อง ไม่อนุญาตตามที่ขอ กำลังทำให้เกิดความแปลกใจว่า เหตุใดจึงคิดที่จะบินกลับไปดูไบ ทั้งที่กว่าที่จะได้กลับเข้าประเทศไทย บ้านเกิด ก็ต้องใช้เวลายาวนานถึง 17ปี อีกทั้งยังต้องอาศัย “ดีลพิเศษ” มาแล้ว !