ทวี สุรฤทธิกุล
ความชั่วก็เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง มีเกิด มีเจริญ มีเสื่อม และมีดับ ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมและผู้คนที่เกี่ยวข้อง ว่าจะ “เลี้ยงดู” มันให้ไปทางไหน
“ตั๊กสินิสซึ่ม” ยังต้องมองออกไปอีก 2 มิติ นอกเหนือจากใน “มิติอุดมการณ์” ที่กล่าวไปในสัปดาห์ก่อนแล้ว ยังต้องมองไปที่มิติของ “กระบวนการ” และ “ผลกระทบ” อีกด้วยจึงจะครอบคลุม “ความชั่ว” ทั้งหมดนี้ เพราะด้วยอุดมการณ์ที่ชั่ว ย่อมต้องมีคนทำหรือกระบวนการที่ชั่ว อันส่งผลให้เกิดหายนะ “ชั่ว ๆ” ต่าง ๆ เป็นผลกระทบตามมา ดังนี้จึงเป็นที่เชื่อกันว่า “ตั๊กสินิสซึ่ม” จะเป็น “ความชั่วแห่งยุคสมัย” อย่างแท้จริง
ในกระบวนการของลัทธิชั่ว ๆ นี้ แน่นอนว่ามีนักโทษชาย “คนนั้น” เป็นผู้นำ แต่คนที่สร้างลัทธินี้คือพวก “คนเดือนตุลา” ที่สมคบคิดกันมาโดยลำดับ ตั้งแต่ยุคหลัง 14 ตุลาคม 2516 จนมาสุกงอมและเปิดตัวในยุคการปกครองของพรรคไทยรักไทย โดยใช้หรือ “อาศัยร่าง” ของนักโทษชายที่ตอนนั้นกำลัง “บ้าอำนาจ” และหลงระเริงถึงขั้น “เหยียบฟ้า ท้าดาว” (จนกระทั่งต้องระเห็จไปอยู่ต่างแดนโดยการรัฐประหารของ คมช.ในปี 2549) ทำให้เกิดสาวกในลัทธินี้ขึ้นทั่วประเทศ ที่เรียกว่า “คนเสื้อแดง” ที่ครอบงำสังคมไทยอยู่นับสิบปี ดังที่จะเห็นได้จากชัยชนะของพรรคพลังประชาชนและพรรคเพื่อไทย ที่กลายพันธุ์มาจากพรรคไทยรักไทย ในการเลือกตั้งที่ผ่านมานั้น จนกระทั่งเกิดพรรคคู่แข่งในแนวทางเดียวกันอย่างพรรคอนาคตใหม่ ที่แม้จะถูกยุบพรรคไปหลังการเลือกตั้งในปี 2562 แต่ก็ฟื้นขึ้นมาใหม่ในชื่อพรรคก้าวไกล และสามารถเอาชนะพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งครั้งล่าสุด ในปี 2566 นี้ได้ด้วย อันทำให้กลุ่มซ้ายใหม่หรือคนเดือนตุลาเดิมนั้นต้องเสียกระบวน ในขณะที่หัวหน้าขบวนคือนักโทษชายคนนั้น ต้องเข้ามากอบกู้สถานการณ์ ด้วยการไปทำ “ดีลลับ” ที่ลังกาวี ให้พรรคเพื่อไทยสามารถเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล โดยกล้ากลืนน้ำลายที่เคย “ถ่มรดฟ้า” ไปแล้วนั้น ไปร่วมรัฐบาลกับฝ่ายอนุรักษ์ พร้อมกับตัวนักโทษชายก็ยอมตัวมารับโทษแล้วรับได้การดูแลอย่างดี โดยไม่ต้องถูกจำขังแม้แต่วันเดียว และต่อมาก็ได้รับการลดโทษและพักโทษ ออกมา “ซู่ซ่า ก๋ากร่าง” ให้หลายคนอาเจียนอยู่ในทุกวันนี้
นี่เองที่มาถึง “จุดเปลี่ยน” ของกระบวนการลัทธิอุบาทว์ “ชาติชั่ว” ลัทธินี้ คือจากเดิมที่เคยเป็นพวกคนเดือนตุลามา “เชิด” นักโทษชายไว้ใช้ประโยชน์ แต่ว่าต่อไปนี้นักโทษชายคนนี้แหละที่จะแสดงฝีมือด้วยตนเอง โดยที่จะไม่มีลักษณะของการ “แอบ ๆ ซ่อน ๆ” ทำอีกต่อไป รวมถึงที่ไม่น่าจะประนีประนอมกับฝ่ายอนุรักษ์อีกต่อไป เพราะฝ่ายอนุรักษ์เองก็อ่อนแอลงไปมาก (ตรงนี้มีปัจจัยหลัก ๆ อยู่ 2 - 3 เรื่อง ตั้งแต่ “บนลงล่าง” ซึ่งถ้ามีโอกาสจะได้มาแสดงให้ทราบ - เท่าที่จะทำได้ - ต่อไป) ที่สำคัญนักโทษชายคนนี้อยากจะ “สร้างประวัติศาสตร์” ไว้ให้โลกจดจำ ทั้งที่เป็นตัณหาส่วนตัว คือต้องการจะ “เอาคืนสังคมไทย” กับที่เป็น “โรคจิตอำมหิต” อันเป็นนิสัยสันดานที่ฝังมาในตระกูล (มีประวัติว่าต้นตระกูลเป็นอั้งยี่อยู่แถวภาคตะวันออก ก่อนที่จะอพยพไปอยู่ทางเหนือ) ที่คนบ้าแบบนี้ “โนสน - โนแคร์” (บ้างก็ว่าคน ๆ นี้จะเป็นเหมือนฮิตเล่อร์กลับชาติมาเกิดกระนั้น) อย่างที่มีคนเคยได้ยินนักโทษชายคนนี้พูดว่า “ถ้ากูจะได้ก็ต้องเอาให้ได้ทั้งหมด ถ้ากูไม่ได้ ก็จะไม่ให้ใครได้อะไรเลย !”
ในมิติสุดท้าย เมื่อมองถึงผลกระทบ เฉพาะที่นักโทษชายคนนี้ปกครองประเทศมา 5 ปี (2544 - 2549) กับที่ “ลากหาง - แผ่แม่เบี้ย - แลบลิ้นแดง” มีอิทธิพลแทรกซึมอยู่ในทั้งส่วน “บนสุด” ลงมาจนถึง “ล่างสุด” จนถึงทุกวันนี้ รวมกว่า 23 ปีนั้น เมื่อมองตรง ๆ ใน 3 ด้าน อย่างที่นักวิชาการชอบแบ่งกันก็คือ ด้านการเมือง ด้านเศรษฐกิจ และด้านสังคม ก็พอจะสรุปให้เห็น “หายนะ” ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นและขยายสืบเนื่องต่อไป ดังนี้
ในด้านการเมือง ประเทศไทยได้เข้าสู่ยุค “ศักดินาใหม่” คือการที่ประชาชนถูกกดขี่อยู่ภายใต้ผู้มีอำนาจกลุ่มใหม่ ที่ใช้นโยบายประชานิยมต่าง ๆ พร้อมกับการ “บิดเบือน” การมีอยู่ของสถาบันสูงสุด เพื่อช่วงชิงความจงรักภักดี ให้ประชาชนมาพึ่งพิงนักการเมือง และอยู่ภายใต้ระบบ “ผู้มีอิทธิพลโดยรัฐธรรมนูญ” ที่ต่อไปคนกลุ่มนี้จะวางโครงสร้างต่าง ๆ ในรัฐธรรมนูญ ที่คนกลุ่มนี้คิดจะแก้ไขทั้งฉบับ แม้ว่าจะเปลี่ยนประเทศไทยให้เป็นสาธารณรัฐไม่ได้ในระยะแรก แต่ก็จะวางรูปแบบให้หัวหน้าฝ่ายบริหารมีอำนาจสูงสุด อย่างในประเทศที่เขาปกครองโดยประธานาธิบดีกระทำกันนั้นไปพลางก่อน ที่สุดก็จะไม่มีสถาบันสูงสุดแบบเดิมคงอยู่
ในด้านเศรษฐกิจ ว่ากันว่าจะเกิด “เศรษฐกิจรวมเข้าสู่ศูนย์กลาง” แต่ไม่ได้เข้าศูนย์กลางรัฐแบบที่มีอยู่ในระบอบคอมมิวนิสต์แบบดั้งเดิม แต่เป็น “ศูนย์กลางทุน” ที่มี “นายใหญ่” ควบคุมเครือข่ายธุรกิจทั้งหมดของประเทศ ที่จะครอบคลุมไปทั่วโลกด้วยกลุ่มทุนเดียวกันนี้อีกด้วย โดยทุนเล็กทุนน้อย ไม่ว่าจะเป็น SME หรือ Start-up ก็จะต้องมาเข้ารวมอยู่ในศูนย์กลางทุนดังกล่าว จึงจะเกิดและเติบโตต่อไปได้ โดยใช้อำนาจรัฐและกฎหมายต่าง ๆ เป็นเครื่องมือ โดยที่ถ้าใครไม่ได้เข้ามาเป็นพวกหรือรวมอยู่ในศูนย์กลางทุนนี้ก็จะถูกกำจัดไป
ในด้านสังคม แต่เดิมสังคมไทยมีลักษณะเอื้ออาทร ชอบช่วยเหลือเกื้อกูลกัน มีเมตตา กตัญญูรู้คุณ และเคารพระบบอาวุโส แต่ภายใต้การเมืองที่ให้เคารพ “ขาใหญ่” คนสมัยใหม่ก็จะไปเข้าหาแต่คนที่สามารถดลบันดาลสิ่งต่าง ๆ ให้เขาได้ และในระบบเศรษฐกิจแบบรวมศูนย์ทุน ก็จะยิ่งกระตุ้นให้คนในยุคต่อไปหันไปพึ่งพิง “คนใหญ่” เหล่านั้นมากขึ้น ที่สุดทุกคนจะไม่เป็นตัวของตัวเอง ยิ่งในโลกของนิวมีเดียที่โซเชียลมีเดียมีอิทธิพลสูงมากต่อชีวิตส่วนตัวของผู้คน “ผู้มีอำนาจและนักการเมืองชั่ว ๆ” ก็จะใช้ประโยชน์ตรงนี้ เพื่อสร้างเครือข่ายความภักดี เพื่อให้เราแต่ละคนต้องพึ่งพิงและเชื่อฟังคนพวกนี้ไปโดยตลอด
แน่นอนว่า “ความวิตกกังวล” ที่ผู้เขียนว่ามานี้บางอย่างยังอาจจะมาไม่ถึง (และขอภาวนาว่าอย่าให้มาถึงหรือเกิดขึ้น) แต่การรู้ทัน “เล่ห์เหลี่ยม” ของคนกลุ่มนี้ โดยเฉพาะตัวคนที่เป็นผู้นำ(ซึ่งมี “เชื้อชั่ว” และประวัติชั่ว” มากมาย) ที่ขณะนี้กำลังย่ามใจ เราก็อาจจะช่วยกันหาทางป้องกันหรือกำจัดความชั่วนี้ได้บ้าง เหมือนกับที่เรารู้ว่า ถ้ากินน้ำสกปรกก็จะเป็นอหิวาห์หรือ “โรคห่า” ได้ ดังนี้ เราก็อย่าเลือกคนสกปรกพวกนี้เข้าไปปกครองบ้านเมือง หรือเมื่อเห็นมันมาปกครองก็เอามัน “ต้ม” ทำความสะอาดเสีย
อีกทั้งคอยกันลูกหลานของมันไว้ หรือเอาพวกมันไป “เผาแล้วฝังกลบ” ให้หมดเสียในวันนี้ !