เสรี พงศ์พิศ
Fb Seri Phongphit
ประเทศไทยเคยส่งข้าวออกอันดับหนึ่งของโลก เคยมีข้าวดีที่สุดในโลก วันนี้ไม่ใช่แล้ว มีชาติอื่นที่ส่งออกข้าวได้มากกว่า และมีข้าวที่ดีกว่า พวกเขาเก่งขึ้น เราอยู่กับที่และถอยหลัง
รัฐบาลไทยสงคราะห์ง่ายกว่าพัฒนา แก้ปัญหาเฉพาะหน้าง่ายกว่าปรับโครงสร้าง แจกเงินหมื่นง่ายกว่าปฏิรูปประเทศ
ผู้นำที่ขาดวิสัยทัศน์ มองไม่เห็นศักยภาพของสังคมไทย ไม่เห็น “ทุน” ที่ดีกว่าประเทศอื่นๆ ที่เหมาะกับการผลิตอาหาร อยากเป็น “ครัวของโลก” ก็ปลอยให้ “นายทุน” ทำไปแบบ “เศรษฐกิจตามใจชอบ” (laissez-fare economy) ฟรีเทรดที่ไม่แฟร์ เกษตรกรไทยไม่มีทางลืมตาอ้าปากได้ ปล่อยให้ทุนใหญ่ผูกขาดกันต่อไป
ชาวนาต้องการ “นโยบายเกษตร” ที่ดีกว่า “ปุ๋ยคนละครึ่ง” ดีกว่า “จำนำข้าว” ดีกว่า “ประกันราคาข้าว” รัฐบาลไทยควรเรียนรู้จากประเทศที่เขาผลิตข้าวได้ดีกว่าว่าเขาส่งเสริมเกษตรกรอย่างไร ไม่ต้องประเทศพัฒนาแล้วอย่างอเมริกา ญี่ปุ่น หรือแม้แต่จีน
เอาแค่เวียดนาม “สามลดสามเพิ่ม” ว่าเขาประกาศเป็นนโยบายแล้วเขาทำจริงจังเพียงใด ต่างจากเราที่รัฐบาลก่อนส่งเสริม “เกษตรแปลงใหญ่” ดูโครงการแล้วน่าตื่นเต้นดี มีครบหมด แล้วทำไมจึงดูเหมือนกำลังลืมเลือนไป ไม่มีใครพูดถึงหรือสนใจสานต่อ นอกจากบางกลุ่มที่ทำได้ผล ซึ่งมีน้อย ที่ล้มเหลวมากกว่ามาก
ปัญหาเกษตรไทยไม่ได้รับการแก้ไขเพราะไม่พัฒนา “คน-ความรู้-ระบบ” ไปพร้อมกัน ในแผนมีเขียนไว้สวยงาม ซึ่งหากทำได้จริงทุกกระบวนการขั้นตอนอย่างต่อเนื่องคงไม่ล้มเหลว ไม่ใช่สัมมนา 2-3 วัน แล้วให้งบไปซื้ออุปกรณ์ ปัจจัยการผลิต เป็นการส่งเสริมไม่ “สุดซอย” หรือ “พอกะเทิน”
ความรู้ในการทำการเกษตร การใช้เทคโนโลยีทันสมัยให้ได้ผลจริงควรไปพร้อมกันทำให้ผลผลิต แทนที่จะได้ 400-500 กิโลต่อไร่ ก็ได้เป็นตันหรือมากกว่า ผลิตมากกว่า ต้นทุนน้อยกว่า
การส่งเสริมให้ได้ผลผลิตอินทรีย์ที่อ้างในการทำนา ปลูกผัก ผลไม้แปลงใหญ่ก็น่าชื่นชม แต่มีระบบตรวจสอบต่อเนื่องเป็นที่น่าเชื่อถือเพียงใด ถ้ามีการตลาดที่ดีในและต่างประเทศ มีคุณภาพดีสม่ำเสมอ มีการส่งเสริมจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อเนื่อง โครงการเกษตรแปลงใหญ่คงพัฒนาไปได้
แทน “ปุ๋ยคนละครึ่ง” และนโยบายปลายเหตุทั้งหลาย ทำไมไม่ส่งเสริมการสร้างรากฐานการพัฒนายั่งยืนด้วยการเรียนรู้ ส่งเสริมเกษตรกร ลูกหลานพวกเขาให้มีความรู้ทางเทคโนโลยีสมัยใหม่ กลับไปปฏิรูปการเกษตร มีทุนการศึกษา มีแรงจูงใจด้านภาษีและอื่นๆ ส่งเสริมสตาร์ตอัปเกษตร “เป็นกรณีพิเศษ”
พัฒนา “คน-ความรู้-ระบบ” ผ่านวิสาหกิจชุมชนที่มีอยู่กว่า 80,000 กลุ่ม ก็ไม่เห็นมีนโยบายอะไร บอกให้ชาวบ้านไป “จดทะเบียน” วิสาหกิจชุมชน คงเพื่อให้มีจำนวนไปอ้างและของบประมาณเท่านั้นกระมัง เพราะก็ไม่เห็นมีการส่งเสริมสนับสนุนอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
ถ้ารัฐบาลเข้าใจและส่งเสริม “คน-ความรู้-ระบบ” แทนที่ “ปุ๋ยคนละครึ่ง” เราจะเห็นการส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ อาหารปลอดภัยอย่างจริงจัง และจะ “ตีตลาด” โลก เพราะเรามี “จุลินทรีย์” ที่ผู้เชี่ยวชาญญี่ปุ่นบอกว่า ดีกว่า “อีเอ็ม” ของญี่ปุ่นอีก
เมืองไทยมีสิ่งแวดล้อมที่เหมาะกับจุลินทรีย์ที่มีมหาศาลและมีคุณภาพ ที่ไม่เห็นต้องใช้ปุ๋ยเคมี เพียงแต่กระทรวงเกษตรฯก็ดี ธ.ก.ส.ก็ดี คงไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้ เพราะขัดผลประโยชน์ของ “นายทุน”
โลกเปลี่ยนไปเร็วมาก ความรู้ทางเทคโนโลยีก็เปลี่ยนแบบ “หักโค่น” ยากที่ไทยเราจะตามทัน แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราต้องตามให้ทัน เราสามารถพัฒนาสิ่งที่เราทำได้ดีกว่าคนอื่นอีกมากมาย หันมาให้การส่งเสริมสนับสนุนด้านการเกษตรให้ดีที่สุด
สนับสนุนการวิจัย สนับสนุนสตาร์ตอัป อาหาร เครื่องดื่ม สมุนไพร อาหารเสริม ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั่วโลกที่มีบุคลากรที่มีทักษะและมีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า พัฒนาเกษตรอุตสาหกรรม
รู้สึก “อิจฉา-เศร้าใจ” เมื่อได้ฟังสุนทรพจน์ของเซอร์ เคียร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของสหราชอาณาจักรที่หน้าบ้านหมายเลข 10 ถนนดาวนิงหลังจากชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย
นายกฯ คนนี้หัวหน้าพรรคแรงงาน มาจากครอบครัวแรงงาน บอกว่า “รัฐบาลนี้จะคืนความเชื่อมั่นให้ประชาชน จะทำให้การเมืองรับใช้ประชาชน เพราะการรับใช้จะทำให้เกิดความหวัง การเคารพนับถือ และเชื่อมประเทศให้เป็นหนึ่งเดียว”
“เราจะรับใช้อย่างซื่อสัตย์” เขาประกาศ “เราจะรับใช้ผลประโยชน์ของประชาชน” และที่ได้รับการปรบมืออย่างกึกก้องเมื่อเขาบอกว่า “ประเทศชาติต้องมาก่อน พรรคมาทีหลัง”
สุนทรพจน์ที่สั้นแต่กินใจนี้จบลงว่า “เราจะปฏิรูปประเทศของเรา” (We will renew our country)
อยากเห็นพรรคการเมืองไทยประกาศแบบนี้บ้าง ไม่ใช่ตอนหาเสียง แล้วมาบอกทีหลังว่า ที่พูดไปเพียงหาเสียง แต่ให้ประกาศตอนเป็นรัฐบาลอย่างที่อังกฤษ และไม่ทำลายความเชื่อมั่นของประชาชน
อังกฤษหลายปีที่ผ่านมาอยู่อันดับท้ายๆ ของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว คล้ายไทยที่อยู่ท้ายๆ อาเซียน นายกฯสตาร์เมอร์ได้ใจประชาชนชาวอังกฤษที่เชื่อมั่นในตัวเขาและพรรคแรงงาน จึงได้คะแนนอย่างล้นเหลือ
พรรคการเมืองที่ดีจะซื่อสัตย์ต่อประชาชน เอาความต้องการของประชาชนมาก่อนพรรค ไม่ใช่แค่ประกาศแบบพรรคการเมืองไทยว่า “ประชาชนมาก่อน” พูดแล้วก็ลืมสิ่งที่พูดและสัญญา
ถึงได้ตอบเหมือนนายกรัฐมนตรีไทยในสภาว่า เกษตรไม่มีเสน่ห์ดึงดูด ไม่เป็นอุตสาหกรรมสร้างผลกำไร โดยมองไม่เห็นว่า “เกษตรอุตสาหกรรม” จะทำให้ไทยรอดจากความด้อยพัฒนาได้อย่างไร
มีผู้นำที่ขาดวิสัยทัศน์เช่นนี้จะไม่ให้การเกษตรที่เคยเป็น “ความภูมิใจ” กลายเป็น “ความอับจน” และ “ความอัปยศอัดสู” ได้อย่างไร