ในปริมณฑลการเมืองไทย เราไม่ได้ยินคำที่แบ่งแยกชนชั้นมาหลายปี  จากที่เคยได้ยินบนเวทีปราศรัยต่อมวลชนของคนเสื้อแดง ที่สร้างวาทกรรม “ไพร่-อำมาตย์” หลังรัฐประหาร 19 กันยายน 2549

กระทั่งในห้วงหลังเลือกสมาชิกวุฒิสภาระดับประเทศและหลังจากที่คณะกรรมการการเลือกตั้งหรือกกต.พิจารณาระงับสิทธิชั่วคราว 1 ในสมาชิกวุฒิสภา หรือ “แจกใบส้ม” นั้น มีการหวนนำวาทกรรม “ไพร่” ในบริบทการเมืองอีกครั้ง โดยอ้างว่าวิบากรรมที่เกิดขึ้นกับสว.รายดังกล่าว เพียงเพราะความเป็นสามัญชน จึงโดนกลั่นแกล้งหรือบูลลี่

“เมื่อสามัญชน ไพร่มาเป็น สว. ก็เหมือน ปีศาจ ของท่าน เสนีย์ เสาวพงศ์ ถูกปลุกให้ฟื้นคืนชีพอีกวาระหนึ่ง” สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล ระบุ

กระนั้น จะเป็นด้วยการกลั่นแกล้งแบ่งชนชั้น หรือเป็นเพราะคุณสมบัติต้องห้าม ใดๆก็สุดแท้แต่ ข้อเท็จจริงและกติกาคือตัวตัดสิน เป็นเครื่องมือคัดกรองในด่านแรก หากตรงไปตรงมาและบริสุทธิ์ผุดผ่องดั่งทองคำแท้ก็ต้องทนไฟ

อย่างไรก็ตาม คำว่า “ไพร่” แท้จริงแล้ว มีความหมายอย่างไร

ราชบัณฑิตยสภา ให้ความหมายเอาไว้ว่า ไพร่  หมายถึง “ประชาชนทั่วไป ซึ่งยามปรกติเเป็นพลเรือน ยามสงครามเป็นทหาร ไพร่สิบคนมีหัวหน้าคนหนึ่ง เรียกว่า นายสิบ ไพร่ร้อยคนมีหัวหน้า คือ หัวปาก ลำดับต่อไปมีหัวพัน หัวหมื่น และเจ้าแสน การปกครองแบบนี้ใช้อยู่ในสุโขทัย ล้านนา ไทยอาหม ฯลฯ”  

ทั้งนี้คำว่า “ไพร่” นั้น อยู่ในระดับศักดินาของไทยในอดีต ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา และถูกยกเลิกไปพร้อมกับ “ทาส” ในสมัยรัชกาลที่ 5 กรุงรัตนโกสินทร์

ฉะนั้น ปัจจุบันไม่มี “ไพร่” แล้ว ฉะนั้น สมาชิกวุฒิสภา หรือแม้แต่ประชาชนโดยทั่วไปจึงไม่มีใครเป็นไพร่อีก

ขณะที่หัวใจสำคัญ ของวุฒิสภาชุดนี้ ที่มาจากหลากหลายสาขาอาชีพ ถึง 20 กลุ่มนั้น ปณิธานของอดีตประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ คือ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ เปลี่ยนวุฒิสภาให้เป็นสภาที่จะรับรู้ความต้องการหรือความเดือดร้อน หรือส่วนได้เสียของคนกลุ่มต่าง ๆ เพื่อให้ประชาชนทุกสาขาอาชีพได้เข้ามามีส่วนร่วมในทางการเมืองอย่างแท้จริงและความต้องการของเขาได้รับการพิจารณาอย่างจริงจัง(ที่มา หนังสือ เขียนไว้กันลืม)

หัวใจคือเป็นผู้ที่มาจากสาขาอาชีพนั้นๆ อย่างแท้จริง จึงจะเข้าใจความต้องการและความเดือดร้อนนั่นต่างหาก