ทวี สุรฤทธิกุล
ความอุบาทว์ชาติชั่ว บ้างเกิดจากความชั่วส่วนตน บ้างเป็นสันดาน และบ้างสืบทอดมาเป็นตระกูล ๆ
ในช่วงที่มีการประท้วงขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ เมื่อ พ.ศ. 2556 - 2557 โดยขบวนการ กปปส. ผู้เขียนได้เข้าไปร่วมกับการประท้วงครั้งนั้นโดยตั้งใจ เพื่อกำจัดความอุบาทว์ชาติชั่วของคนบางตระกูล ที่เรียกว่า “ระบอบทักษิณ” ในช่วงที่เริ่มต้น “พวกเรา -กปปส.” ได้ไปประชุมกันที่ “แปซิฟิคคลับ” บนถนนสุขุมวิท ครั้งหนึ่งมีการเชิญ “สื่อผู้ใหญ่” มานั่งคุยเพื่อให้ข้อมูลบางอย่าง ซึ่งเป็นข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เพราะมันคล้ายกันกับสิ่งที่ผู้เขียนได้รู้และศึกษามา นั่นก็คือเรื่องราวเกี่ยวกับ “ปฏิญญาฟินแลนด์”
“เขา – สื่อผู้ใหญ่” ใช้เวลาเล่าประกอบการตอบข้อสงสัยของพวกเรากว่าหนึ่งชั่วโมง สรุปได้ว่า ภายหลังที่นักโทษชายที่เป็นอดีตนายกรัฐมนตรีไม่ได้กลับคืนประเทศภายหลังการรัฐประหารเมื่อ 19 กันยายน 2549 พวก “คนเดือนตุลา” ที่อาศัยทำมาหากินอยู่ในพรรคไทยรักไทยและนายทุนของพรรค บางส่วนก็ได้หนีภัยรัฐประหารไปหลบซ่อนอยู่ในหลาย ๆ ประเทศ ต่อมาบางคนได้มีการนัดหมายไปเจอกันที่ประเทศฟินแลนด์ และได้พูดคุยกันถึงอนาคตของกันและกัน มีการตกลงกันว่า ยังจะกลับมาต่อสู้และหาทางคืนสู่อำนาจในประเทศไทยให้ได้ รวมถึงที่จะยังมุ่งมั่นที่จะให้ประเทศไทยมีการปกครองในระบอบสาธารณรัฐ โดยให้ “นายหน้าเหลี่ยม” เป็นประธานาธิบดี และนั่นก็คือจะต้องไม่มี “บางสถาบัน” คงอยู่ในประเทศไทย
แนวคิดนี้ดูท่าจะล้มเหลว เพราะ “สถาบัน” ที่คนพวกนี้อยากล้มล้างยังมีความมั่นคงดีอยู่ โดยเฉพาะภายใต้การพิทักษ์ปกป้องของรัฐบาล คสช.ในช่วงที่ผ่านมา แล้วคนพวกนี้จะทำอะไรต่อไป?
คนเหล่านี้เชื่อว่า ด้วย “พลังคนเสื้อแดง” ที่รัฐบาลไทยรักไทยได้สร้างมาด้วยนโยบายประชานิยมต่าง ๆ ในช่วง พ.ศ. 2544 - 2549 จะทำให้ “นายหน้าเหลี่ยม” พบกับกับความสำเร็จที่มุ่งหวัง แรก ๆ ก็วางยุทธศาสตร์ว่าจะใช้คนเสื้อแดงเข้าประทะกับ “สถาบัน” โดยตรง แต่พอเกิดรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 ก็เปลี่ยนเป้าไปสู่ “กองทัพ” แต่ก็พอดีกับมีพระราชพิธีพระบรมศพในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่คนไทยได้แสดงพลังของความจงรักภักดี “กระหึ่ม” ไปทั้งแผ่นดิน บรรดาแกนนำของคนกลุ่มนี้จึงค่อย ๆ หดหัวหายไป (บ้างก็ติดคุก บ้างก็ยังหลบหนีอยู่ต่างประเทศ) แม้แต่พวก “ทาสเสื้อแดง” ก็ “ชูคอและชี้หาง” ไม่ขึ้น กระทั่งภายหลังการเลือกตั้งวันที่ 24 มีนาคม 2562 พรรคเพื่อไทย (ที่เรียกอีกชื่อว่าเป็น “ทายาทอสูร” ของพรรคไทยรักไทย) แม้จะชนะเลือกตั้งเป็นเสียงข้างมากก็ไม่อาจจะตั้งรัฐบาลได้ แสดงให้เห็นว่ายุทธศาสตร์ของ คสช.ที่จะขัดขวางกลุ่มที่มีแนวคิดชั่ว ๆ นี้ให้หมดสิ้นไป ที่รวมถึงการยุบพรรคอนาคตใหม่หลังการเลือกตั้งครั้งนั้น ก็ประสบความสำเร็จพอควร ทำให้พรรคเพื่อไทยต้องทบทวนยุทธศาสตร์ของตนบ้าง ดังที่ได้เห็นสิ่งนี้ภายหลังการเลือกตั้งวันที่ 14 พฤษภาคม 2566
ก่อนการเลือกตั้งครั้งนี้ “กระแสเบื่อลุงตู่” เริ่มพัดโหมรุนแรงขึ้น ที่อาจจะเนื่องด้วยท่าทีของ “ลุงตู่” คือ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะดูแลหรือจัดการอะไรอย่างไรกับประเทศไทยต่อไป เช่น จะอยู่พรรคไหน หรือจะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกหรือไม่ ทำให้ฝ่ายอนุรักษ์ที่เคยเชียร์ลุงตู่อยู่นั้นแตกคอกัน ซึ่งผลการเลือกตั้งที่ออกมาก็แสดงให้เห็นว่า พลังอนุรักษ์ได้อ่อนแอลงอย่างมาก เพราะทั้งพรรคก้าวไกล(ร่างใหม่ของพรรคอนาคตใหม่)และพรรคเพื่อไทย ที่ถูกเรียกว่าเป็นพรรค “แนวประชาธิปไตย” (แต่ที่จริงคือ “ซ้ายใหม่” เพราะยังมีแนวคิดที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศอย่างรุนแรงโดยล้มล้างสถาบันต่าง ๆ) สามารถชนะเลือกตั้งได้เป็นเสียงข้างมาก โดยรวมคะแนนเสียงของทั้งสองพรรคได้จำนวนถึง 292 เสียง (พรรคก้าวไกล 151 พรรคเพื่อไทย 141) เกินครึ่งหนึ่งของเสียงในสภาผู้แทนราษฎร ที่มีจำนวนทั้งสิ้น 500 เสียง
ด้วยความ “อ่อนเดียงสา” ของพรรคก้าวไกล ที่มั่นใจในตอนแรกว่าพรรคแนวประชาธิปไตยทั้งสองนี้จะสามารถรน่วมกันจัดตั้งรัฐบาลได้ แต่ด้วย “มารยาทอันเลวทราม” ของนักการเมืองบางกลุ่ม ที่ได้กระทำ “การถ่มน้ำลายรดฟ้าแล้วกลืนกิน” ในขณะที่ก็มีข่าวว่า “นายหน้าเหลี่ยม” ได้ดอดมากระทำ “ดีลลับ” กับอำมาตย์บางคนที่เกาะลังกาวี ทำให้พวกคนเดือนตุลาในพรรคเพื่อไทยเองต้องถอยกรูด ต้องทำตามที่นายใหญ่สั่ง อันเป็นที่มาของการโหวตให้นายเศรษฐา ทวีสิน ได้เป็นนายกรัฐมนตรีในวันที่ 22 สิงหาคม 2566 พร้อมกับการกลับมาของ นช.ทักษิณ ชินวัตร ในเช้าวันเดียวกัน และการเมืองไทยก็เปลี่ยนมาอยู่ใน “แนวทางคนชั่ว” อีกครั้ง อย่างที่เคยเรียกกันในสมัยหนึ่งว่า “ระบอบทักษิณ” หรือที่ขอเพิ่มชื่อเรียกใหม่นี้ว่า “ตั๊กสินิสซึ่ม”
ที่ระบอบนี้และลัทธินี้ “ชั่วมาก ๆ” ถ้าจะมองด้วยแนวคิดทางรัฐศาสตร์ที่ผู้เขียนศึกษามา น่าจะมองได้เป็น 3 มิติใหญ่ ๆ คือ
มิติแรก ในด้านอุดมการณ์ ต้องถือว่าคนกลุ่มนี้มี “อุดมการณ์ชั่ว ๆ” ไม่เคยเสื่อมคลาย เพราะเป็นแนวคิดที่ต้องการจะล้มล้างสถาบันหลักของประเทศ ไม่เพียงแต่สถาบันพระมหากษัตริย์ แต่รวมถึงระบบราชการ ทหาร รัฐสภา และศาล (รวมถึงกระบวนการยุติธรรมทั้งหมดนั้นด้วย) เพื่อให้ประเทศไทยทรุดโทรมจนถึงขีดสุด จนถึงขั้นสุดท้าย เช่น มีการรัฐประหารอีกครั้ง เมื่อสถานการณ์อันทรุดโทรมนั้นแก้ไขไม่ได้ ก็จะโทษพวกทหารที่ทำรัฐประหาร เมื่อทหารหมดความเชื่อถือ ก็ย่อมจะกระทบต่อความมั่นคงของพระมหากษัตริย์ ที่สุดระบบทั้งระบบก็จะพังครืน และ “ระบบใหม่” ที่คนพวกนี้วาดฝันไว้ก็จะเป็นจริง
ลัทธิอุดมการณ์นี้ไม่สนใจว่า ประเทศไทยและสังคมไทย รวมถึงคนไทยทั้งหมด จะเสียหายวอดวายอย่างไรเพียงไร ขอเพียงแต่ให้มัน “หายไป” แล้วพวกมันก็จะ “สร้างใหม่” บนซากศพและความวอดวายเหล่านั้น ซึ่งอาจจะมีคนถามว่า แล้วพวกมันจะได้อะไร และประเทศไทยจะอยู่ต่อไปได้อย่างไร เมื่อพวกมันต้องมาปกครองบนซากหายนะเหล่านั้น
คำตอบขอไว้ตอบสัปดาห์หน้า พร้อมกับความชั่วอีก 2 มิติ ที่จะมา “พรรณนา” ต่อไป เพราะความชั่วของคนบางกลุ่มยังมีสิ่งที่ต้อง “กระทำชั่ว ๆ” อีกมาก โดยเฉพาะสิ่งที่นักโทษชายคนหนึ่ง จะได้ “อวดฤทธิ์อวดเดช” อย่างสุด ๆ ภายหลังการพ้นพักโทษในวันที่ 22 สิงหาคม เดือนหน้านี้
จงเตรียมพบกับสิ่งที่ "นรกไม่อาจต้านทาน ยมบาลไม่อาจพูด ยมทูตไม่อาจกระทำ"