สถาพร ศรีสัจจัง
ประมวลข้อมูลจากหลากแหล่งมาสรุปเกี่ยวกับอายุของ “โลก” (world,earth,globe) ซึ่งเป็น “ดาวดวงหนึ่งของระบบสุริยะจักรวาล” ได้ว่า โลกเรามีอายุประมาณ 4.54 พันล้านปี(ขณะที่กาแล็กซีทางช้างเผือกที่มีระบบสุริยะจักรวาลดำรงอยู่ มีอายุประมาณ 13.2 พันล้านปี และ “จักรวาล” มีอายุประมาณ 13.8 พันล้านปี) (ข้อสรุปจากการสืบค้นและเรียบเรียงของ “วิทิต บรมพิชัยชาติกุล”)
ส่วน “มนุษย์” (homosapiens/human being) นั้นโดยประมวลสรุปเช่นเดียวกันพบว่า มีนักวิทยาศาสตร์ชีวภาพเริ่มตั้งคำถาม และศึกษาเรื่องที่มาที่ไปและอายุการเกิดมีขึ้นของ “สิ่งมีชีวิต” ชนิดนี้ อย่างน้อยก็ตั้งแต่เมื่อประมาณ 400 ปีมาแล้ว ภายหลัง การศึกษาเรื่องดังกล่าวยิ่งแผ่กว้างขึ้น ครอบคลุมศาสตร์หลากสาขา ทั้งด้าน “วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ” (Natural science)และ “วิทยาศาสตร์สังคม” (Social science)
เพื่อให้เห็นภาพ"พัฒนาการ"เรื่อง"มนุษย์และสังคมของพวกเขา"อย่างกว้างๆโดยสรุป ขอประมวลเรื่องราวดังกล่าวมาเล่าสู่กันหังเพื่อเป็นพื้นฐานที่จะทำความเข้าใจเรื่อง"โลกทัศน์"(World view) และ"การพัฒนาที่เป็นพิษ"ในท้ายที่สุดของพวกเขาดังนี้ :
ผลการศึกษาโดยรวม(จนถึงปัจจุบัน)พบว่า มนุษย์สมัยใหม่วิวัฒนาการมาจากสิ่งมีชีวิต “ชั้นวงศ์วานร” ที่เรียกว่า “Homosapiens” ดั้งเดิมแห่งทวีปแอฟริกา ในยุคหินเก่าตอนกลาง คือเมื่อประมาณ 2 แสนปีก่อน จนถึงการเริ่มต้นของยุคหินเก่าตอนปลาย คือเมื่อประมาณ 5 หมื่นปีที่แล้ว
ช่วงประมาณนี้เองที่ “มนุษย์” เริ่มมีการพัฒนาที่สำคัญๆ เช่น ด้านพฤติกรรมต่างๆของตัวเอง เริ่ม มีการ “ผลิตสร้าง” สิ่งที่เรียกว่า “วัฒนธรรม” เช่น ภาษา พิธีกรรมความเชื่อ และ “ดนตรี” ขึ้น (เมื่อ 5 หมื่นปีก่อน)
การอพยพออกจากทวีปแอฟริกาของ “โฮโมซาเปี้ยนส์” นั้นพบว่า เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 7 หมื่นปีที่แล้ว จากนั้นพวกนี้ก็กระจายไปทั่วโลกแทนที่พวกกลุ่ม “โฮมินิดส์” (มนุษย์วานร) อื่นๆก่อนหน้านั้น
มีทฤษฎีซึ่งเป็นที่ยอมรับกันอย่างแพร่หลายเกี่ยวกับเรื่องนี้นำเสนอว่า พวกโฮโมซาเปี้ยนส์ได้เข้าแทนที่พวก “Homo neandertalensis” และ สปีชีส์อื่น ที่สืบเชื้อสายมาจาก “Homo erectus” (ผู้ยืนตัวตรง) ซึ่งอยู่อาศัยในพื้นที่ “ยูเรเซีย” มาแต่เมื่อ 2 ล้านปีมาแล้ว!
กลุ่มผู้ศึกษาที่พบข้อมูลเรื่องนี้นำเสนอด้วยว่า ที่พวกโฮโมซาเปี้ยนส์สามารภเบียดขับมีชัยเหนือกลุ่มสปีชีส์อื่นนั้น “สันนิษฐาน” ว่าพวกนี้ใช้หลายวิธีการ ตั้้งแต่การผสมพันธุ์ข้ามสปีชีส์ จนถึงการ “ทำสงคราม” เพื่อแย่งชิงพื้นที่ และ ทรัพยากร!(โปรดจำคำว่า “สงคราม” ไว้ให้จงดี!)
ปัจจัยสำคัญที่สุด ที่ฟังว่าทำให้ชั้นวงศ์วานรสปีชีส์นี้มี “อำนาจ” เหนือสปีชีส์อื่น ก็คือการค้นพบ “ไฟ” และ สามารถควบคุม “ไฟ” ให้รับใช้พวกตนได้ ว่ากันว่าในยุคนั้นมีเพียง “โฮโมซาเปี้ยนส์” เท่านั้นที่เป็น “เจ้าของสิ่งที่เรียกว่า “ไฟ!”
นักพันธุศาสตร์นาม “ลินน์ จอร์จ” และ “เฮนรี อาร์เพนดิง” แห่งมหาวิทยาลัยยูทาห์ ของสหรัฐอเมริกา นำเสนอว่า ความหลากหลายในดีเอ็นเอของสปีชีส์ “มนุษย์” นั้นเล็กน้อยมาก เมื่อเทียบกับความหลากหลายในสปีชีส์อื่น
และยังเสนออีกว่า ระหว่างสมัยไพลสโตซีนตอนปลาย ประชากร “มนุษย์” ลดลงเหลือเพียงคู่พ่อแม่พันธุ์จำนวนน้อยเท่านั้น คือ ไม่มากกว่า 10,000 คน และอาจเคยเหลือน้อยมาก เพียง 1,000 คน ส่งผลให้ยีนพูลที่ตกค้างมีขนาดเล็กมาก มีหลายเหตุผลสำหรับการตอบข้อสมมติฐานเรื่อง “ปรากฏการณ์คอขวดประชากร” นี้ เหตุผลที่สำคัญหนึ่งก็คือ “ทฤษฎีว่าด้วยมหันตภัยโตบา” (Toba catastrophe theory)(โปรดค้นหารายละเอียดโดยตัวเอง)
การเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุค “อารยธรรม” (Civilization) ของสปีชีส์ “มนุษย์” หรือ “โฮโมซาเปี้นส์” เท่าที่เคยมีการศึกษาของบรรดา นักมานุษยวิทยาสมัยใหม่ ทำให้พอจะประมวลสรุปได้ว่า พวกเขาเริ่มรู้จักรวมตัวกันเป็นกลุ่มเล็กๆ (Band society) แล้วเริ่มตั้งหลักแหล่งขึ้น รวมถึงเริ่มรู้จักการเพาะปลูกและเอาสัตว์มาเลี้ยง ก็เมื่อประมาณไม่เกิน 1 หมื่นปีที่ผ่านมานี้เอง!
การรู้จักทำเกษตรกรรม ค่อยๆก่อให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “การปฏิวัติยุคหินใหม่” ขึ้น
การเกษตรกรรมและการรู้จักนำสัตว์มาเลี้ยง (เป็นสัตว์บ้าน) ทำให้ “มนุษย์” เรื่มมี “อาหารส่วนเกิน” และ มีส่วนอย่างสำคัญที่ผลักดันให้ก่อเกิด “การตั้งถิ่นฐานที่ถาวร” ขึ้นในภายหลัง
การเกษตรกรรมดังกล่าวก่อให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “เครื่องมือโลหะ” (Metal tool) มากขึ้น นอกจากนั้นยังค่อยๆก่อให้เกิดระบบการแลกเปลี่ยนและความร่วมมือ(การค้า) ระหว่างกลุ่ม ทำให้ "กลุ่มมนุษย์" ยิ่งพัฒนาความซับซ้อนทาง"สังคม"เพิ่มมากขึ้นและเร็วขึ้น
และแล้วนักวิชาการเกี่ยวกับเรื่อง “พัฒนาการของสปีชีส์มนุษย์” ก็มักสรุปตรงกันว่า ประมาณ 6 หมื่นปีที่ผ่านมา กลุ่ม “ชุมชนของมนุษย์” ขนาดใหญ่ ที่มีการจัดตั้งกันขึ้นในลักษณะที่เรียกในปัจจุบันว่า “รัฐ” (State) ก็เกิดขึ้นในที่สุด!
พวกเขาสรุปว่าชุมชนมนุษย์ที่มีลักษณะ “รัฐ” แรกๆ เริ่มเกิดขึ้นที่แถบดินแดนซึ่งเรียกว่า “เมโสโปเตเมีย” แถบลุ่มแม่น้ำไนล์ของอียิปต์ และแถบลุ่มแม่น้ำสินธุของอินเดีย จากนั้นจึงกระจายไปทั่วในทุกภูมิภาคของ “โลก”!!