สงครามการเมืองยังคงยืดเยื้อ มีกลยุทธ์ใหม่ๆที่ต่างฝ่าย ต่างนำมาใช้ในการต่อสู้ ผลัดกันบุก ผลัดกันรับ ให้ได้ลุ้นใจหายใจคว่ำมาโดยตลอด
แต่สำหรับพรรคเพื่อไทยแล้ว แม้จะเป็นพรรคแกนนำในรัฐบาล “314เสียง” แต่จนถึงวันนี้ยังไม่พบว่าพรรคจะอยู่ในความแข็งแกร่ง จนวางใจได้ว่าจากนี้ไปจะไม่เกิด “อุบัติเหตุ” ทางการเมืองขึ้นมา ยิ่งเมื่อชะตากรรมของพรรคผูกติดเอาไว้กับ “ความเป็นไป” ของ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี คนที่ 23
แต่จนถึงวันนี้ยังมีควาคลุมเครือว่าแท้จริงแล้ว ทักษิณกลับมาเมืองไทยเพื่อ “ผงาด” กุมอำนาจเบ็ดเสร็จ กลายเป็น “นายกฯตัวจริง” ที่อยู่นอกทำเนียบฯ หรือสถานะของเขาคือ “ตัวประกัน” ที่เหมือนจะมีอำนาจ มีเสรีภาพ แต่ไม่มี “อิสรภาพ” อย่างแท้จริง
ปัญหาของพรรคเพื่อไทยจะเติบโตในสนามการเมือง ยืนระยะไปจนถึงวันเลือกตั้ง เมื่อครบวาระหรือไม่นั้น คือการที่จะ “อยู่” หรือ “ไป” จากผลในทางคดีความที่เป็นชนักติดหลังคือ ความผิดในคดีมาตรา 112 จะส่งผลในการต่อสู้ของพรรคเพื่อไทยตามมาทันที
แม้พรรคเพื่อไทยได้ทั้งเก้าอี้ “นายกฯคนที่ 30” ได้ อดีตนายกฯทักษิณ กลับประเทศไทย หลังจากที่ไปอยู่ต่างประเทศ นานถึง 17 ปี
และยังได้ “อำนาจรัฐ” นั่งบริหารประเทศในฐานะ “แกนนำรัฐบาล” จากการจับมือกับ “พรรค2ลุง” ชนิดข้ามขั้ว
โดยที่สิ่งต่างๆเหล่านี้ล้วนไม่ได้เกิดขึ้นเอง ตามวิถีทางการเมืองโดยปกติ แต่เมื่อเป็นฝ่าย “ได้” ไปแล้ว ทั้งพรรคเพื่อไทยและทักษิณ ก็ต้องยอมรับว่า “อำนาจ” นั้นไม่ถาวร และไม่ได้เป็นฝ่าย “กำหนดเอง” ทั้งหมด
ปัญหาคดีความในความผิดตามมาตรา 112 เมื่อพ้นจากวันที่ 18 มิ.ย.67 จะยังคงเดินหน้าต่อไป โดยที่ทักษิณ ไม่ได้มีอิสรภาพที่แท้จริงอยู่ดี และแม้วันนี้พรรคเพื่อไทยจะมั่นใจได้ว่า ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นเหมือนไพ่หน้าใด หน้าตา “รัฐบาลผสม” ที่มี “314เสียง” ก็ยังไม่ถึงเวลา “เปลี่ยนแปลง”
แต่ในขณะเดียวกัน กลับพบว่า วันนี้พรรคเพื่อไทย อยู่ในสภาพ “เมาหมัด” เพราะยังไม่สามารถ “ทวงคะแนนนิยม” จากพรรคก้าวไกล ให้กลับมาได้ แม้จะผ่านพ้นไปแล้วถึง 9เดือน ผลโพล แทบทุกสำนักชี้ในทิศทางที่ไม่ต่างกัน ว่า 9เดือนของรัฐบาล ยังไม่มีอะไรที่ทำให้ประชาชนพึงพอใจได้
นอกจากนี้ หากผลในทางคดีต่อตัวทักษิณ ออกมาในมุมที่เป็น “ลบ” มากมากกว่า “บวก” จากคดีมาตรา 112 พรรคเพื่อไทย จะถูกจับตาตามมาทันทีว่า “เจ้าของพรรค” จะมีจิต มีใจ เดินหน้าทำพรรคต่อไปในทิศทางใด
แม้ล่าสุดทักษิณ ได้รับการประกันตัวไปสู้คดีมาตรา 112 ไปเรียบร้อยแล้ว โดยใช้หลักทรัพย์ เป็นเงิน 5แสนบาท ตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์เอาไว้ก่อนหน้านี้ แต่คดีความก็ยังค้างติดตัวอยู่ที่ทักษิณ
นอกจากนี้มีรายงานว่า ศาลมีคำสั่งให้ ทักษิณ ซึ่งบัดนี้ได้กลายเป็น จำเลย ต้องวางหนังสือเดินทาง ยึดหนังสือเดินทาง และหลักประกัน ห้ามเดินทาง ออกนอกราชอาณาจักรเว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล แจ้งสตม. ทราบ
ตลอดเส้นทางการต่อสู้คดีของทักษิณ นับจากวันที่ 18 มิ.ย.นี้ไป ในระหว่างนี้ ย่อมมีผลทั้งตัวทักษิณ ต่อพรรคเพื่อไทย ไปจนถึง รัฐบาลเศรษฐา ซึ่งล้วนเป็นไปในลักษณะ “ประคองตัว” มากกว่าที่จะกวาดแต้มต่อ เอาชัยเหนือ “พรรคก้าวไกล” ได้อย่างเบ็ดเสร็จ ทั้งที่เป็น “ภารกิจ” ที่ได้รับมอบหมายมาตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ !