เสือตัวที่ 6
กลุ่มคนในขบวนการต่อสู้เพื่อแบ่งแยกการปกครองจากรัฐถูกขับเคลื่อนการต่อสู้โดยแกนนำขบวนการแห่งนี้ที่สามารถสร้างกระแสความเห็นพ้องกับมวลชนโดยเฉพาะในพื้นที่เป้าหมายแห่งนี้อย่างทรงพลังด้วยการเป็นแนวร่วมในการต่อสู้กับรัฐในทุกมิติ ส่งผลให้ขบวนการแห่งนี้ยังคงมีศักยภาพอันเข้มแข็งในการขับเคลื่อนแนวความคิดและการกระทำไปสู่เป้าหมายสุดท้ายได้อย่างประสานสอดรับกันอย่างกลมกลืนและสามารถต่อสู้กับรัฐได้ยาวนานจวบจนทุกวันนี้ จะเห็นได้ว่าแกนนำขบวนการร้ายแห่งนี้ปรับเปลี่ยนการต่อสู้มาใช้มิติทางการเมืองนั่นคือการต่อสู้ทางความคิดโดยการสร้างวาทกรรมส่งผ่านความคิดความเชื่อให้สังคมภายนอกโดยเฉพาะในสายตาของประชาคมโลกได้เห็นว่าเป็นสิทธิอันชอบธรรมของพวกเขาที่ต้องต่อสู้กับรัฐโดยอ้างว่ารัฐเป็นเจ้าอาณานิคมในดินแดนแห่งนี้ ทั้งนี้เพื่ออิสรภาพในการปกครองกันเองตามสิทธิในการกำหนดชะตาชีวิตของคนในพื้นที่ (Right to Self-Determination:RSD)
หลายเวทีการต่อสู้ทางการเมืองที่แกนนำการต่อสู้ในมิติทางการเมืองที่ตัวแทนของฝ่ายขบวนการบีอาร์เอ็นยังคงใช้วาทกรรมที่พยายามสื่อสารตลอดมาในทำนองว่า การก่อตั้งบีอาร์เอ็นมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างแนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติของชาวมลายูปาตานี เพื่อสร้างอุมมะห์ (ประชาชาติ) ที่มีความแข็งแกร่ง ซึ่งหมายรวมถึงทั้งคนเชื้อสายไทย มลายู จีน ที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินปาตานี พวกเขาต่อสู้เพื่อให้ได้อิสรภาพและการปกครองที่มีความยุติธรรมสูงสุด รวมทั้งพยายามสื่อให้เข้าใจว่าสาเหตุที่ปาตานีต้องต่อสู้เพราะพื้นที่แห่งนี้ตกเป็นอาณานิคมของสยามตั้งแต่ ค.ศ.1776 พร้อมต่อสู้ในมิติทางการเมืองผ่านข้อเรียกร้องตลอดมาใน 5 ข้อ ถึงนักล่าอาณานิคมสยามคือรัฐไทย คือ 1.ให้มาเลเซียเป็นผู้ไกล่เกลี่ย ไม่ใช่เพียงผู้อำนวยความสะดวก 2.ยอมรับให้บีอาร์เอ็น เป็นกลุ่มตัวแทนการพูดคุยกับชาวปาตานีครั้งนี้ 3.ยอมให้มีประเทศอาเซียน โอไอซี และเอ็นจีโอต่างประเทศ เข้ามาเป็นสักขีพยานในการเจรจา 4.ยอมปล่อยตัวผู้ที่ถูกควบคุมตัวและยกเลิกหมายจับในคดีความมั่นคงทั้งหมด โดยไม่มีเงื่อนไข และที่สำคัญคือ 5.ยอมรับว่าบีอาร์เอ็นเป็นขบวนการปลดปล่อยปาตานีไม่ใช่กลุ่มแบ่งแยกดินแดนหัวใจสำคัญอยู่ที่เรื่องการเรียกร้องให้รัฐไทยยอมรับสิทธิความเป็นเจ้าของแผ่นดินปาตานีซึ่งเงื่อนไขทั้ง 5 ข้อของแกนนำบีอาร์เอ็นดังกล่าว กำลังเป็นสมรภูมิสำคัญประการหนึ่งในการต่อสู้ทางความคิดเพื่อชัยชนะทางการเมืองระหว่างกลุ่มเห็นต่างจากรัฐกับรัฐอย่างเข้มข้น
การสะสมบ่มเพาะแนวคิดให้กลุ่มเป้าหมายมีความเห็นพ้องกับแนวคิดหลักของขบวนการแห่งนี้ เป็นปัจจัยสำคัญในการต่อสู้ทางความคิดกับรัฐ ขบวนการนี้จึงต้องคงความเข้มข้นในการแอบซ่อนงานจัดตั้งและขยายงานมวลชนแนวร่วมการต่อสู้เพื่อเป็นมวลชนสนับสนุนและเข้าร่วมขบวนการแบ่งแยกการปกครองจากรัฐโดยเฉพาะการสนับสนุนข้อเรียกร้องของกลุ่มแกนนำเจรจาต่อรองกับรัฐในเวทีการพูดคุยเพื่อสันติภาพตามแนวทางได้เคยเสนอในเรื่องการกำหนดชะตาชีวิตของตนเอง (Right to Self-Determination: RSD) อันเป็นเป้าหมายหลักของขบวนการที่จะนำไปสู่การลงประชามติแยกการปกครองเป็นอิสระจากรัฐโดยสมบูรณ์ ในขณะเดียวกัน การยื่นเงื่อนไขที่แข็งกร้าว 5 ข้อดังกล่าวนี้ ก็เพื่อเรียกศรัทธาและแรงสนับสนุนจากสมาชิกระดับปฏิบัติการและมวลชนแนวร่วมการต่อสู้กับรัฐได้มากขึ้น บีอาร์เอ็นจำเป็นต้องทำความเข้าใจกับสมาชิกระดับปฏิบัติการและผู้สนับสนุนขบวนการร้ายแห่งนี้เช่นกัน เพราะหากปราศจากการสนับสนุนของมวลชนแล้ว ขบวนการต่อสู้กับรัฐกลุ่มนี้ ก็จะอ่อนกำลังลงอย่างมากและสุ่มเสี่ยงที่จะเผชิญการล่มสลายพ่ายแพ้การต่อสู้กับรัฐในสมรภูมินี้ได้อย่างราบคาบ
ในขณะเดียวกัน การต่อสู้ในมิติทางการเมืองของกลุ่มแกนนำขบวนการเห็นต่างจากรัฐ ยังดำเนินการผ่านกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่าภาคประชาสังคมที่ต่อสู้กับรัฐบนแนวทางในการดำเนินการทางการเมืองผ่านกิจกรรมทางวัฒนธรรมต่างๆ ที่แอบซ่อนเป้าหมายที่แท้ตลอดจนการจัดเวทีการเสวนาสัมมนาทางวิชาการต่างๆ สร้างความเข้าใจผิด บั่นทอน ลดคุณค่า สร้างความเห็นต่างจากรัฐและต่อต้านการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่รัฐในทุกรูปแบบ โดยเฉพาะการอ้างสิทธิมนุษยชนและการบังคับใช้กฎหมาย เชื่อมโยงกับการต่อสู้ในมิติทางการเมืองระหว่างประเทศ โดยการพยายามสร้างเงื่อนไขความชอบธรรมด้วยการก่อเหตุร้ายสร้างความรุนแรงให้เชื่อมโยงสถานการณ์ที่เป็นความขัดแย้งระหว่างคนในพื้นที่ที่ถูกครอบครองกับฝ่ายรัฐ อันจะนำไปสู่การขัดกันด้วยอาวุธ (Armed Conflicts) และพยายามบิดเบือนสถานการณ์จากการบังคับใช้กฎหมายของรัฐโดยเจ้าหน้าที่รัฐให้นำไปสู่การละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมและสิทธิมนุษยชน อีกทั้งใช้มวลชนมาสนับสนุนในการต่อต้านอำนาจรัฐโดยมีเป้าหมายหลักคือการมุ่งไปสู่สิทธิในการกำหนดชะตาชีวิตตนเอง (RSD) ซึ่งสอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศ
และการต่อสู้ในมิติทางการเมืองดังกล่าวแม้เป็นแนวทางต่อสู้ในปัจจุบันที่แกนนำขบวนการแบ่งแยกการปกครองจากรัฐได้ปรับเปลี่ยนไปเป็นแนวทางหลักในห้วงเวลานี้ แต่กระนั้นบนเส้นทางการต่อสู้ในมิติทางการเมืองจะเข้มแข็งและทรงพลังในการต่อสู้กับรัฐอยู่ได้ ก็ยังคงต้องใช้การต่อสู้ในมิติอื่นคู่ขนานไปกับการต่อสู้ทางการเมืองดังกล่าวอย่างประสานสอดรับกัน โดยการต่อสู้ด้วยอาวุธด้วยการก่อเหตุร้ายสร้างความรุนแรงซึ่งกลุ่มผู้เห็นต่างจากรัฐกำลังใช้ความได้เปรียบจากอำนาจการต่อสู้ด้วยอาวุธแบบกองโจรที่เหนือกว่ารัฐ เป็นแนวทางสนับสนุนการต่อสู้ในมิติทางการเมืองให้คงความได้เปรียบในการเจรจาต่อรองกับรัฐอย่างทรงพลังต่อไป และความสำเร็จของการต่อสู้ในมิติทางการเมืองผ่านการเจรจาต่อรองบนโต๊ะเจรจาจะขึ้นอยู่กับความได้เปรียบในพื้นที่ความขัดแย้งที่มีการต่อสู้กันระหว่างคู่ขัดแย้งอยู่บนหลักการพื้นฐานของการเจรจาต่อรองบนโต๊ะเจรจานั้น ผู้ที่จะสามารถชี้นำและวางเงื่อนไขบนโต๊ะเจรจาต่อรอง คือผู้ที่ได้เปรียบในพื้นที่ด้วยอำนาจต่อรองที่เหนือกว่า โดยเฉพาะอำนาจการต่อสู้ด้วยอาวุธที่เหนือกว่าคู่ขัดแย้งเป็นหลัก เสริมพลังจากการสนับสนุนจากภาคประชาสังคม และแนวร่วมมวลชนในวงกว้างทั้งในและนอกพื้นที่แห่งนี้จนถึงมิติทางการเมืองระหว่างประเทศซึ่งจะเชื่อมโยงไปสู่การเอาชนะทางการเมือง เหล่านี้คือปรากฏการณ์ที่ชี้ให้เห็นว่า กลุ่มแกนนำขบวนการแบ่งแยกการปกครองจากรัฐกลุ่มนี้กำลังเอาชนะรัฐด้วยการขับเคลื่อนการต่อสู้อย่างประสานสอดรับกันในทุกมิติที่ทรงพลังยิ่ง