กระแสของ ESG ของธุรกิจในปัจจุบันกำลังเป็นที่จับตา แปลความง่ายๆก็คือ การทำธุรกิจอย่างยั่งยืนที่คำนึงถึงประเด็นของสิ่งแวดล้อม สังคมและธรรมาภิบาล
เมื่อเร็วๆนี้ สำนักข่าวอินโฟเควสต์ รายงานว่า นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง กล่าวปาฐกถางาน Bangkok Post ESG Conference 2024 ตอนหนึ่ง ระบุว่า “ภาคตลาดทุนมีความสำคัญในการผลักดันการระดมทุนเพื่อความยั่งยืน โดยกระทรวงการคลังเล็งเห็นดังนี้
1. เร่งส่งเสริมการซื้อขายคาร์บอนเครดิต และการจัดตั้งตลาดคาร์บอนในประเทศไทย ด้วยการสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการขึ้นทะเบียน การซื้อขาย และการตรวจสอบคาร์บอนเครดิตที่เป็นมาตรฐานสากล
2. การพัฒนาตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์ทางการเงินเพื่อความยั่งยืนด้วยการสนับสนุน ให้รัฐวิสาหกิจออก Green Bond และ Sustainability-linked Bond เพื่อสร้างตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์ทางการเงินเพื่อความยั่งยืน
โดยกระทรวงการคลัง มองว่า มาตรการทางภาษีก็เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยส่งเสริมการลงทุนในกิจกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ปัจจุบันกระทรวงการคลังมีมาตรการภาษีที่เกี่ยวข้อง เช่น การส่งเสริมการซื้อขาย คาร์บอนเครดิต โดยการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล
สำหรับกำไรสุทธิที่เกิดจากการขายคาร์บอนเครดิต ภายใต้โครงการ T-VER การส่งเสริมการลงทุนในกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนหรือ Thai ESG ที่ลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้ของไทยที่ให้ความสำคัญเรื่องความยั่งยืนตามหลัก ESG การส่งเสริมพาหนะที่ปล่อยคาร์บอนต่ำด้วยการนำปริมาณการปล่อยคาร์บอนมาประกอบการพิจารณากำหนดอัตราภาษีสรรพสามิตรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ เป็นต้น
นอกจากนี้ เพื่อรักษาพื้นที่สีเขียวที่ครอบครองโดยเอกชน ซึ่งปัจจุบันอาจถูกตีความว่าเป็นที่รกร้าง และไม่ได้ใช้ประโยชน์ กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาแนวทางการให้สิทธิประโยชน์ตามกฎหมายภาษีที่ดิน และสิ่งปลูกสร้างที่เหมาะสมสำหรับที่ดินของเอกชนที่มีลักษณะเป็นพื้นที่สีเขียว
ทั้งนี้ ในระยะต่อไป กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการพิจารณามาตรการภาษี โดยแบ่งเป็น 3 ระยะ ดังนี้
– ระยะสั้น จะส่งเสริมและสนับสนุนการใช้พลังงานทางเลือก และลดการใช้พลังงานด้วยการอนุญาตให้หักลดหย่อนการซื้อ และติดตั้ง Solar Cell บนหลังคาบ้าน การอนุญาตให้นำค่าใช้จ่ายในการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานมาหักค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม รวมทั้งการส่งเสริมการลงทุนในด้านการวิจัย และพัฒนาที่เกี่ยวข้องกับ Climate Tech
– ระยะกลาง จะส่งเสริมการปรับตัวไปสู่Low-carbon Activities และสร้าง Ecosystem ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเช่น การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีให้แก่ค่าใช้จ่ายในการวัด Carbon Footprint เพื่อให้ผู้ประกอบการ วางแผนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างตรงจุด การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีให้แก่ค่าใช้จ่ายในการขึ้นทะเบียนคาร์บอนเครดิต เพื่อกระตุ้นในภาคเอกชนขึ้นทะเบียนคาร์บอนเครดิตในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ โดยเฉพาะภาคเกษตร ซึ่งจะช่วยเพิ่ม Supply และสภาพคล่องในตลาดคาร์บอนเครดิตอีกด้วย เป็นต้น
– ระยะยาว จะเน้นการผลักดันภาษีคาร์บอน เพื่อผลักดันให้ทุกภาคส่วนปรับตัวเพื่อให้ประเทศสามารถบรรลุเป้าหมายที่ประกาศเจตนารมณ์ไว้ตาม Paris Agreement โดยจะพิจารณาผลกระทบที่รอบด้าน และเงื่อนไขด้านเวลาที่เหมาะสม เพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับประชาชนกลุ่มเปราะบาง และพัฒนากลไกเยียวยาที่เหมาะสม”
“การดำเนินนโยบายตามที่ได้กล่าว รวมทั้งการประกอบธุรกิจของภาคเอกชนที่ยึดหลัก ESG จะช่วยให้ประเทศไทยก้าวเป็นผู้นำระดับโลกด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน ดึงดูดการลงทุน ส่งเสริมนวัตกรรม และมีเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างยั่งยืน และเป็นธรรม ซึ่งจะยกระดับรายได้ คุณภาพชีวิต และความเป็นอยู่ของคนไทยทุกคน” นายพิชัย กล่าว