สถาพร ศรีสัจจัง

มีใคร หรือ “องค์กร” ใดบ้างไหมในโลกปัจจุบัน  ที่ตั้งคำถามและร่วมกันคิดร่วมกันทำอย่างแท้จริง เพื่อหาทางร่วมกันแก้ไขปัญหา “โศกนาฏกรรม” ของ “ชาวโลก” (คือ “คน” ทั้งหลายที่อาศัย “ร่วมโลก”) ที่กำลังเผชิญกับ “ชะตากรรมหฤโหด” ทั้งโดยตรง(กำลังเผชิญ) และ โดยอ้อม (กำลังจึงคิว “ฆ่า”!) อย่างจริงจัง หรืออย่างมีสำนึกในฐานะ “มนุษย์” อย่างแท้จริงบ้างไหม?

ตั้งแต่องค์กรระดับโลก เช่น องค์การสหประชาชาติ (UN) ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ.) หรือศาลโลก (World courts) หรือแม้กระทั่งองค์กรภาคเอกชนอย่างกรีนพีช !

มี “นักการเมือง” (ทั้งที่ได้ดำรงตำแหน่งเป็น “ข้าราชการการเมือง” เช่น นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และอื่นๆ  รวมถึงผู้ที่ไม่ได้ไม่ได้ดำรงตำแหน่ง แต่มีบทบาททางการเมืองเพราะเป็น “นักการเมือง ข้าราชการ  เจ้าสัว คนรวย หรือบรรดาผู้ที่มี” โอกาส ทางสังคมด้านต่างๆมากกว่าประชาชนคนธรรมดา ที่ยากจน ที่หาเช้ากินต่ำ ที่ฐานะเศรษฐกิจชักหน้าไม่ถึงหลังในประเทศไทย คนไหนบ้าง?

ที่ร่วมกันคิดร่วมกันทำอย่างแท้จริง เพื่อนำพาคนในประเทศไปสู่ความสงบสุข ไม่แตกแยก ไม่ทะเลาะเบาะแว้งแย่งผลประโยชน์กัน ประชาชนคนทั่วไปพอมีอยู่มีกิน และสามารถมีความสุขแห่งชีวิตตามอัตภาพอย่างยั่งยืน(ไม่ต้องให้ “ละโมบ” ถึงกับ “มั่งคั่ง” เหมือนพวกม่านหรอก!)

มีบ้างไหม? ที่สามารถแสดงผลในทางปฏิบัติจริงให้เห็นว่า ได้ใช้ทรัพยากรของชาติเพื่อส่วนรวม และได้ใช้ “ปัญญา” (ที่เกิดจากการได้รับโอกาสใน “การเรียนรู้ที่มากกว่า” ราษฎรสามัญ) ร่วมชะล้างแก้ไขปัญหาทางสังคมด้านต่างๆของประเทศ

เพื่อนำไปสู่ความเป็น “สังคมที่สงบร่มเย็นและเอื้ออาทรต่อกัน” อย่างแท้จริง!

สังคมที่ “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” อย่าง “วาทกรรมหรู” ที่นักการเมืองปากดีคนไหนก็ไม่รู้เคยคิดขึ้นเพื่อโปรยเป็น “คำล่อ” ในการ “หาเสียง” !

โลกวันนี้ที่เต็มไปด้วย “การฆ่า” การทำลายล้าง การประกอบกรรมทำชั่วที่ผิด “ศีลธรรม” แบบที่ไม่น่าเชื่อว่า “มนุษย์” ผู้พัฒนามาไกลจากความเป็น “สัตว์เดรัจฉาน” มากแล้ว ต้องกลับไปเป็น “เดรัจฉาน” อีกครั้ง ในช่วงยามที่กำลังจะเดินทางเข้าสู่คริสต์ศตวรรษที่ 21!

เป็น “เดรัจฉาน” (Brute) อย่างไร?

คำ “เดรัจฉาน” ในภาษาไทย (ซึ่งเป็นภาษาที่ฟังว่า คน “เจน Z” และคนไทยส่วนใหญ่ยุคนี้ไม่สนใจและไม่ให้ความสำคัญกันนักแล้ว)นั้น "ราชบัณฑิตยสถาน"ได้ให้ความหมายไว้ดังนี้ :ว่า

“เดรัจฉาน” มาจากภาษาบาลีว่า ติรจฺฉาน (อ่านว่า ติ-รัจ-ฉา-นะ) แปลว่า สัตว์ที่เคลื่อนที่ไปในแนวขวาง คือ ขณะที่เคลื่อนที่ไปนั้น ลำตัวไม่ได้ตั้งตรงอย่างมนุษย์

เดรัจฉาน หมายถึง สัตว์อื่น ๆ ทั้งหมดซึ่งไม่ใช่มนุษย์ บางครั้งใช้ซ้อนกับคำว่า สัตว์ เป็น สัตว์เดรัจฉาน คำว่า เดรัจฉาน และ สัตว์เดรัจฉาน มักใช้เพื่อเน้นลักษณะหรือคุณสมบัติบางประการที่แตกต่างกับคุณสมบัติของมนุษย์ คือ ไม่รู้เหตุผล แยกผิดชอบชั่วดีไม่ได้ สัตว์เดรัจฉานสังหารเหยื่อได้อย่างไม่รู้สึกสงสาร คำว่า เดรัจฉาน หรือ สัตว์เดรัจฉาน ใช้เป็นคำเปรียบเพื่อด่าว่าผู้ที่มีพฤติกรรมต่ำช้า ไร้เมตตาปรานีราวกับไม่ใช่มนุษย์

แล้วคำ “มนุษย์” ละ มีความหมายแตกต่างกับคำ “เดรัจฉาน”อย่างไรบ้าง?

ในเรื่องนี้ อาจมีการให้ความหมายของความเป็นมนุษย์ที่แตกต่างกันออกไปบ้าง เช่น  พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานของไทย ให้ความหมายคำว่า “มนุษย์” คือ สัตว์ที่รู้จักใช้เหตุผล สัตว์ที่มีจิตใจสูง “ส่วนนายชาร์ลส ดาร์วิน นักธรรมชาติวิทยาชาวอังกฤษคนสำคัญ เจ้าของทฤษฎีวิวัฒนาการที่เชื่อว่า มนุษย์วิวัฒนาการมาจากลิง กล่าวว่า “มนุษย์ คือ อุบัติเหตุของธรรมชาติที่มืดบอด”  ส่วนนายซิกมัน ฟรอยด์ นักจิตวิทยาผู้มีชื่อเสียง  กล่าวว่า “มนุษย์เป็นส่วนผสมระหว่างความปรารถนาที่รู้ตัว (conscious) และความปรารถนาจากจิตใต้สำนึก (unconscious)”

เราเป็นคนไทย ก็คงต้องยึดเอาความหมายจาก “ราชบัณฑิตยสถาน” เป็นหลักก็แล้วกันละนะ นั่นคือ “ สัตว์ที่รู้จักใช้เหตุผล ผู้มีจิตใจสูง”!  ซึ่งแตกต่างอย่างชัดเจนกับคำ “เดรัจฉาน” ที่พจนานุกรมอธิบายไว้ตอนหนึ่งว่า คำว่า “เดรัจฉาน” หรือ “สัตว์เดรัจฉาน” มักใช้เพื่อเน้นลักษณะหรือคุณสมบัติบางประการที่แตกต่างกับคุณสมบัติของ “มนุษย์” คือ ไม่รู้เหตุผล แยกผิดชอบชั่วดีไม่ได้ สัตว์เดรัจฉานสังหารเหยื่อได้อย่างไม่รู้สึกสงสารเป็นต้น

เห็นหรือไม่?ว่า “ชนชั้นนำ” ทั้งของสังคมโลก (โดยเฉพาะชนชั้นนำของ “ประเทศมหาอำนาจ” หรือประเทศ “จักรวรรดินิยม” ที่บอกว่าตัวเองเป็นประเทศที่ “อารยะ” แล้วทั้งหลาย ) และของสังคมไทยปัจจุบัน สามารถ “แยกผิดชอบชั่วดี” และ “สังหารเหยื่อได้อย่างไม่รู้สึกสงสาร” กันบ้างหรือเปล่า?

ในระดับโลก,ภาพของการฆ่าฟันกัน(ที่เกิดจากความขัดแย้งเชิงผลประโยชน์และ"อำนาจ"ของชนชั้นนำ) ทำให้เกิด"การฆ่า"กันมากขึ้น วันแล้ววันเล่า ครั้งแล้วครั้งเล่า  มีการผลิตและถือครอง"เครื่องมือการฆ่า"ที่เรียกให้ดูหรูว่า"ยุทธปัจจัย"(เงินลงทุนในการผลิตล้วนมาจากมูลค่าส่วนเกิน(surplus vaue)จากแรงงานของชนชั้นแรงงานผู้ลงแรงทำการผลิตทั้งสิ้น)กันอย่างบ้าคลั่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ 

ภายใต้ “การคิดเรื่องผลประโยชน์” และ การกำกับของกลุ่มคนเล็กๆผู้ทรงอำนาจ (ที่ได้อำนาจมาเพราะการสร้าง “เครื่องมือ” ต่างๆขึ้นควบคุม “ความคิด” อย่างเป็น “ระบบ” ต่อมหาชนคนส่วนใหญ่ เช่น ระบบการศึกษา/ระบบเศรษฐกิจที่กระตุ้นกิเลสและความอยากอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทำให้คนมืดมัวอยู่ดับความโลภ ความหลง//ระบบสื่อสารมวลชน (เพื่อโปรแกรมข้อมูลยัดสมองผู้คนให้เชื่อตาม หรือมีรสนิยมตามที่ชนชั้นนำต้องการเช่น ให้คลั่งชาติ คลั่งสงคราม คลั่งความคิดแบบ “มิจฉาทิฐิ” ทั้งหลายทั้งปวง)ฯลฯ

ชนชั้นนำพวกนี้ ใช้เวลา “ทำลายมนุษยชาติ” (ทั้งโดย “การฆ่า” ทางตรงในนามของ “สงคราม” และ ชื่อเรียกอื่นๆ ทั้งโดยทางอ้อม เช่น การเบียดเบียนทำลายทรัพยากรของโลก จนก่อเกิดปัญหาต่อมนุษยชาติต่างๆนานา เช่น ปัญหามลพิษ และปัญหา “โลกเดือด” เป็นต้น อย่างที่รับรู้กันอยู่ในปัจจุบัน พวกเขายังทำลาย “โลก” จนเกิดหายนะในทุกด้าน ด้วยระยะเวลาที่ไม่ยาวนานนัก  ที่รับรู้ได้ชัดๆก็คือ นับตั้งแต่เกิด “การปฏิวัติอุตสาหกรรม” ขึ้นในประเทศอังกฤษเมื่อปีค.ศ.1760 หรือ เมื่อ 250 กว่าปีก่อนมานี้เอง (ไม่ถึง 3 ศตวรรษ) !

หรือมนุษยชาติกำลังจะสูญพันธุ์? หรือโลกกำลังจะล่มสลาย? แล้วจะทำอย่างไรกับพวก “ชนชั้นนำ” ที่ “ทำลายโลก” เหล่านั้นดี?!