ชัชวาลล์ คงอุดม เรียน กองบรรณาธิการ นสพ.สยามรัฐ คอลัมน์ คุณชัช เตาปูน ตอบจดหมาย แม้แนวโน้มสังคมไทยเราจะเป็นสังคมผู้สูงอายุมากขึ้นๆเป็นลำดับสอดคล้องกับแนวโน้มสังคมโลกที่มีผู้สูงอายุมากขึ้น โดยคนสูงอายุมีแต่จะอายุยืนยาวมากขึ้น หรือตายช้าลง ด้วยเพราะเทคโนโลยีทางการแพทย์และทางการรักษา ตลอดจนยารักษาโรคในปัจจุบันก็พัฒนาดีขึ้นจนทำให้คนสูงอายุที่เป็นคนไทยเราตายลดจำนวนลง อนาคตกำลังน่าเป็นกังวลอย่างยิ่งก็คือ เราจะหาที่พำนักพักพิงหรือต้องใช้งบประมาณจำนวนมากจากตรงไหนมาดูแลผู้สูงอายุเหล่านั้นซึ่งเป็นปัญหาใหญ่และเป็นปัญหาหนักใจไม่ใช่น้อยสำหรับรัฐบาลเพราะจนถึงขณะนี้การเตรียมการรองรับผู้สูงอายุยังไม่ค่อยได้คืบหน้าไปกันถึงอย่างไร เพราะรัฐบาลมีภาระหนักทั้งเรื่องเศรษฐกิจต้องดูแลเรื่องปากท้องประชาชนในแต่ละวัน ไหนจะภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นและแปรเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วมากจากภัยแล้ง ก็มาเกิดน้ำป่าไหลหลาก น้ำฝนตกติดต่อกันจนเกิดน้ำท่วมพืชสวนไร่นาทางการเกษตรเสียหายจำนวนมาก ไหนราคาข้าวก็ยังมาตกต่ำเข้าอีก เพียงปัญหาเหล่านี้ ทางการก็เหนื่อยแล้ว งบประมาณที่ได้จากเก็บภาษีก็มีแนวโน้มจะไม่เพียงพอ หากตราบใดกำลังซื้อหรือการค้าขายส่งออกหดตัว หรือไม่มีออร์เดอร์ ซึ่งหนทางเดียวก็คงต้องพึ่งรายได้จากการท่องเที่ยว เพราะฉะนั้นปัญหาผู้สูงอายุเป็นเรื่องที่พี่น้องประชาชนคนไทยจำเป็นจะต้องเร่งสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้กับผู้สูงอายุที่เป็นพ่อแม่ ปู่ย่าตาทวดในวันข้างหน้า แทนที่โจทย์จะคิดแต่วางแผนให้กับตัวเอง หรือบุตรหลานของตัวเองเท่านั้น ซึ่งสภาพปัจจุบันสังคมไทยเราเป็นเช่นนั้นจริงๆ คนแก่เฒ่าหรือรุ่นพ่อรุ่นแม่ของเรามักจะถูกละเลย หรือขาดการดูแลกัน ดังนั้นรัฐบาลน่าจะปลุกจิตสำนึกคนไทยให้ได้วางแผนดูแลบุพการีหรือคนรุ่นปู่ย่าตาทวดอีกทางหนึ่งด้วย แทนที่ทุกวันนี้เราจะนึกถึงวางแผนให้กับตัวเองและบุตรหลานเป็นหลักหรือมาก่อนเท่านั้น แล้วปล่อยให้ผู้สูงอายุที่เป็นบุพการีได้อยู่อย่างตามมีตามเกิดหรือตามยถากรรมกัน เพราะฉะนั้นการปลูกฝังเรื่องของการกตัญญูรู้คุณบิดามารดานั้นเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับสังคมไทยยุค Aging Society อย่างมาก อีกประเด็นหนึ่งก็คือ ปัญหาใหญ่ของคนไทยก็คือเรื่องของสุขภาพซึ่งนับวันเงินเฟ้อทางด้านค่าบำบัดรักษาหรือค่ายาทุกวันนี้แทบจะค่อนข้างสูงขึ้นเรื่อยๆ จากเคยเข้าโรงพยาบาลรักษา ค่าห้องพักรักษาตัวค่าหยูกยาจากเพียงไม่เท่าไหร่ ปัจจุบันสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว ขณะที่รายได้คนไทยมีแต่คงที่และถดถอยลงตามภาวะเศรษฐกิจ แต่ปัญหาก็คือปัญหาสุขภาพ คนไทยเราเสื่อมลงๆ ทรุดโทรมลงไปเป็นลำดับ ปัจจุบันโรคภัยไข้เจ็บของคนวัยกลางคน 40 ปี หรือ 50 ปี ก็มาเยือนแล้ว ทั้งโรคเบาหวานโรคความดันโลหิตสูง หรือโรคทางเส้นเลือดสมอง ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้ป่วยด้วยโรคเหล่านี้ป่วยโดยไม่ทันได้ตั้งตัวกัน ทั้งนี้ก็เนื่องจากพฤติกรรมในการกินหรือบริโภคของคนไทยนั่นเอง ประกอบกับสารเคมีหรือสารพิษตกค้างในอาหาร รวมถึงคนไทยนิยมชมชอบการกินอาหารรสหวาน รสเค็ม รสเผ็ด หรือของทอด ของปิ้งย่างกันเสียส่วนใหญ่ทำให้โรคภัยไข้เจ็บเหล่านั้นตามมาอย่างไม่รู้ตัวกัน ซึ่งเป็นสถานการณ์แนวโน้มผู้ป่วยคนไทยเป็นกันเยอะมากทีเดียว เห็นด้วยนะครับ ที่คุณหมอปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้จัดทำแผนพัฒนาสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ.2560-2564) ที่ระบุว่า แนวโน้มการป่วยด้วยโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม โรคหัวใจ หลอดเลือดสมอง มะเร็ง และอัตราการควบคุมภาวะเบาหวานและความดันโลหิตสูงในผู้ป่วย ยังไม่ผ่านเกณฑ์และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น รวมไปถึงด้านพฤติกรรมสุขภาพของคนไทยที่ถูกต้องยังไม่เปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น ทั้งเรื่องการออกกำลังกาย บริโภคผัก/ผลไม้ รับประทานอาหารหวาน/มัน/เค็ม เลือกซื้อผลิตภัณฑ์สุขภาพที่มี อย. ตลอดจนพฤติกรรมชอบการดื่มสุรา และเห็นว่า ขณะนี้ท่านอยู่ระหว่างปรับปรุงร่างแผนพัฒนาสุขภาพแห่งชาติฉบับที่ 12 โดยจะทำให้บรรลุเป้าหมาย 5 เรื่อง คือ 1.ประชาชน ชุมชนท้องถิ่น และภาคีเครือข่าย มีความรอบรู้ด้านสุขภาพมากขึ้น การเจ็บป่วยและตายจากโรคที่ป้องกันได้ลดลง 2.คนไทยทุกกลุ่มวัยมีสุขภาวะที่ดี ลดการตายก่อนวัยอันควร 3.เพิ่มขีดความสามารถของระบบบริการสุขภาพทุกระดับ ให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการสะดวก เหมาะสม 4.มีบุคลากรด้านสุขภาพในสัดส่วนที่เหมาะสม และ 5.มีกลไกการอภิบาลระบบสุขภาพแห่งชาติที่เหมาะสม มีประสิทธิภาพ และประสิทธิผล โดยจะเดินหน้า 4 ยุทธศาสตร์ คือ1.เร่งการเสริมสร้างสุขภาพคนไทยเชิงรุก 2.สร้างความเป็นธรรม ลด ความเหลื่อมล้ำในระบบบริการสุขภาพ 3.พัฒนาและสร้างกลไกเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการกำลังคนด้านสุขภาพ และ 4.พัฒนาและสร้างความเข้มแข็งในการอภิบาลระบบสุขภาพ กระผมคนหนึ่งขอเอาใจท่านให้ผลักดันเรื่องดีๆอย่างนี้ได้ออกมาดูแลสุขภาพของคนไทยได้สำเร็จด้วยเถอะครับ ท่านเจ้าพระคุณเพราะนอกจากจะช่วยลดคนเป็นโรคภัยร้ายแรงลงแล้ว ยังจะช่วยให้ประเทศชาติเราประหยัดเงินตรามากขึ้นอีกด้วย แทนที่จะต้องไปซื้อยาหรือสารเคมีมาบำบัดรักษา ซึ่งเสียดุลการค้าให้กับบริษัทยาข้ามชาติแล้ว ยังเกิดผลข้างเคียงทำให้คนไทยยิ่งตายเร็วขึ้นไปอีกคงอยากจะขอฝากไว้แต่เพียงเท่านี้ครับ ขอบพระคุณอย่างยิ่ง จาก คนแก่วัยเกษียณ เรียนคุณผู้ใช้นามปากกา "คนแก่วัยเกษียณ" ขออนุญาตตอบจดหมายของคุณนะครับ เห็นด้วยกับคุณครับ รัฐบาลควรจะปลูกฝังให้คนไทยได้รู้จักการกตัญญูรู้คุณต่อบุพการีที่เลี้ยงดูเป็นเรื่องสำคัญมากทีเดียวครับ ซึ่งจะมีส่วนช่วยบรรเทาเบาบางสำหรับปัญหาผู้สูงอายุที่ถูกทอดทิ้ง หรือถูกอ้างว้างโดดเดี่ยวได้ระดับหนึ่ง เพราะหากมิฉะนั้นแล้วก็อาจจะส่งผลให้ลุกลามให้เกิดเป็นปัญหาสำหรับสังคมไทย และเป็นภาระต่อรัฐบาลในภายภาคหน้าในการเลี้ยงดูหรือดูแลผู้สูงอายุที่ถูกทอดทิ้งเป็นจำนวนมากตามมาก็ได้ครับ สำหรับข้อเสนอของคุณคนแก่วัยเกษียณที่เขียนมานั้น ผมขออนุญาตนำมาลงในคอลัมน์ตอบจดหมายฉบับนี้ เพื่อผ่านต่อไปให้หน่วยงานที่กำกับดูแลเรื่องนี้ได้พิจารณาก็แล้วกันนะครับ ด้วยรักและนับถือ เจริญชัย อุดมพาณิชวงศ์ "เห็นด้วยกับคุณครับ รัฐบาลควรจะปลูกฝังให้คนไทยได้รู้จักการกตัญญูรู้คุณต่อบุพการีที่เลี้ยงดูเป็นเรื่องสำคัญมากทีเดียวครับ ซึ่งจะมีส่วนช่วยบรรเทาเบาบางสำหรับปัญหาผู้สูงอายุที่ถูกทอดทิ้งหรือถูกอ้างว้างโดดเดี่ยวได้ระดับหนึ่ง เพราะหากมิฉะนั้นแล้วก็อาจจะส่งผลให้ลุกลามให้เกิดเป็นปัญหาสำหรับสังคมไทย และเป็นภาระต่อรัฐบาลในภายภาคหน้าในการเลี้ยงดูหรือดูแลผู้สูงอายุที่ถูกทอดทิ้งเป็นจำนวนมากตามมาก็ได้ครับ"