ในช่วงที่ผ่านมาสภาพอากาศที่ร้อนจัดถึง 44 องศาต่อเนื่องหลายวัน และแม้จะพายุฤดูร้อนฝนตกหนนักช่วยลดอุณภูมิให้เย็นลง แต่เราๆท่านๆหากได้อาบน้ำในช่วงเช้าและเย็นยังสัมผัสได้ถึงความอุ่นหรือร้อนจากน้ำที่อาบ

สำหรับคนเรานั้นการอาบน้ำอุ่น แม้จะช่วยในเรื่องของการไหลเวียนของเลือด ยิ่งแช่น้ำนานๆในอ่างหรือถังก็จะสังเกตได้ถึงความเปลี่ยนแปลง ผิวแดงขึ้น จึงมีคำแนะนำว่าไม่ควรอาบหรือแช่น้ำร้อนนานเกิน 15 นาที เพราะนอกจากจะทำให้เกิดอาการหน้ามืด เป็นลมได้แล้ว ยังทำให้ผิวแห้ง  ผิวเหี่ยว หรือเกิดเลือดคั่ง

ฉายภาพให้ดูเช่นนี้ ก็เพื่อให้นึกสภาพออก เมื่อสถานการณ์ที่น้ำทะเลร้อนระอุเดือด ปะการังที่แช่น้ำอยู่นานๆจะเป็นเช่นไร

ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ หรือ 'ดร.ธรณ์' อาจารย์ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊กระบุถึงสถานการณ์ปะการังฟอกขาว ว่า ขณะนี้แม้อุณหภูมิน้ำทะเลเริ่มลดลง แต่ปะการังแช่น้ำร้อนเกินลิมิตต่อเนื่อง 6-7 สัปดาห์ น้ำที่เย็นลงก็ยังเกินลิมิตอยู่ดี หนนี้จึงเป็นการฟอกขาวรุนแรงที่สุดในรอบ 14 ปี นับจากปี 2553

“ผมโดนถามเป็นประจำ ปะการังจะรอดหรือไม่ ? คำตอบคือยังบอกไม่ได้แต่น่าเป็นห่วงมาก ดังที่บอกไว้ น้ำร้อนมากและร้อนนาน ปะการังอ่อนแอถึงขีดสุด เทียบเป็นมนุษย์ก็เข้าไอซียู จะอยู่จะไปก็ไม่รู้คนเราป่วยหนัก แม้ช่วงพีคของโรคจะผ่านไปแล้ว แต่ช่วงเฝ้าระวังนี่แหละน่าเป็นห่วงสุดๆ เพราะสุขภาพเรากำลังย่ำแย่”

อย่างไรก็ตาม ปะการังไม่เพียงเป็นความสวยงามใต้ท้องทะเลหากแต่ยังคมีความสำคัญของระบบนิเวศทางทะเล เป็นแหล่งอาหารและที่อยู่อาศัยของพืชและสัตว์ รักษาสมดุลธรรมชาติของชายฝั่ง

ผลกระทบที่เกิดขึ้น อาจเกิดความเสียหายต่อระบบนิเวศที่ยากแก่การกู้คืน ยังกระทบเศรษฐกิจ การประมง การท่องเที่ยวด้วย

ฉะนั้น ปัญหาสิ่งแวดล้อมส่งผลกระทบต่อปัญหาปากท้อง  ไม่เพียงแต่ต้องช่วยกันประคับประคองแก้ไขปัญหาทั้งระยะสั้นและระยะยาวต่อภาวะโลกร้อนที่ทำร้ายปะการัง หากแต่ปะการังยังเสี่ยงภัยจากน้ำมือมนุษย์ ที่สร้างมลภาวะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นน้ำเสีย ขยะ และปุ๋ยจากการเกษตร ที่เราต้องระมัดระวังและใส่ใจ