สถาพร ศรีสัจจัง
ชาวโลก “ตะวันออก” เราต้องสูญเสีย “ความเป็นตัวเอง” (อย่างเป็นด้านหลัก) เพราะต้องเดินตามก้นโลก “ตะวันตก” แบบต้อยๆ (อย่างที่ส่วนใหญ่เป็นกันอยู่ในปัจจุบัน) ไปตั้งแต่เมื่อไหร่?
“บางใคร” (ที่ว่าเป็นผู้รู้นั่นแหละ) ให้คำตอบเชิงสรุปแบบสั้นๆต่อคำถามนี้ ฟังได้ว่า ก็ตั้งแต่ชาว “ตะวันตก” ค้นพบ และสามารถสร้าง “นวัตกรรม” เชิงกลไกจนสามารถ “ปฏิวัติอุตสาหกรรม” ได้สำเร็จโดยเฉพาะการค้นพบในเรื่องที่เกี่ยวกับ “พลังงาน” และ “ศาสตราภัณท์” (โดยเฉพาะปืนใหญ่) แต่ที่ตะวันตกกลายเป็น “ฝ่ายนำ” ของโลกตะวันออกอย่างเป็นรูปธรรมก็คือตั้งแต่ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา!
เขาให้เหตุผลเพิ่มเติมว่า การปฏิวัติอุตสาหกรรมทำให้มีการ “ขยายพลังการผลิต” เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เกิด “ผลิตภัณท์” (สินค้า) ที่เป็น “Mass product” ขึ้นในประเทศผู้ค้นพบนวัตกรรมดังกล่าวเป็นจำนวนมาก
พวกเขาจึงต้องเริ่มทำตัวเป็นเจ้าจักรวรรดินำ “เรือปืน” และ “เรือสินค้า” บุกสู่แผ่นดินอื่น ในซีกโลกอื่น
ทั้งเพื่อการได้มาซึ่งทรัพยากรพื้นฐานราคาถูกในการผลิตสินค้า และเพื่อหา “ตลาดระบายสินค้า”
จนเกิดระบบ “จักรวรรดินิยม” ยุคแรกขึ้น กระทั่งนำไปสู่สิ่งที่เรียกว่า “สงครามโลกครั้งที่ 1” …
การณ์เป็นอยู่เช่นนั้น และซับซ้อนขึ้นตามความสามารถในการสั่งสมทุนของโลกตะวันตก ที่เติบโตขึ้นพร้อมๆกับนวัตกรรมทางเทคโนโลยีที่ยิ่งเจริญรุดหน้า อันเกิดจาก “มูลค่าส่วนเกิน” ในนามของสิ่งที่เรียกว่า “ผลกำไรจากการค้าอย่างเสรี”…หรือเรียกให้ชัดก็คือ “ผลประโยชน์ที่ชาติเจ้าจักรวรรดิทั้งหลายได้รับ”
คำ “ผลประโยชน์” นี้เอง ที่นำไปสู่ “สงครามโลกครั้งที่ 2” (ที่คนต้องตายเหมือนผักปลามากขึ้น)…
แล้วประเทศ “จักรวรรดินิยม” ตัวใหม่ที่น่ากลัวกว่า ที่แข็งแรงกว่า ที่ตกอยู่ภายใต้การ “จัดการ” อันซ่อนเร้นลึกลับของ “กลุ่มทุนโลก” ที่สามารถยึดกุมระบบการเงินโลกเอาไว้ได้อย่างแทบจะเรียกได้ว่า “แบบเบ็ดเสร็จ” ก็บังเกิดขึ้น โลกถูกแบ่งเป็น “ฝ่ายแพ้สงคราม” กับ “ฝ่ายชนะ” ฝ่าย “อักษะ” กับ “เสรี” เป็น “ขาว” กับ “แดง” เกิดองค์กรระดับโลกอุปโลกน์ขึ้นมากมาย โดยประเทศจักรพรรดินิยมเหล่านั้น…
ระบบ “ทุนบริโภคนิยมเสรี” เติบโตอย่างรวดเร็วแบบไม่รู้จุดจบ ภายใต้การควบคุมระบบการเงินโลกของ “กลุ่มทุนโลก” กลุ่มเดิมๆเพียงไม่กี่กลุ่ม ภายใต้การค้ำยันด้วยกองกำลังจัดตั้งติดอาวุธทันสมัยที่สุดจำนวนมหาศาลที่กระจายคุมอยู่ในทุกจุดยุทธศาสตร์ของโลก…!
แล้วทรัพยากรทั้งโลกก็ถูกกลืนกิน ถูกแปรผลเป็น “กำไร” ให้กลุ่มทุนผูกขาด พร้อมกับการ “โปรยหว่าน” เมล็ดพันธุ์พิษ คือ “กระบวนทัศน์” ความอยากบริโภคอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ให้แตกเติบขึ้นในจิตใจคนทั้งโลก
บรรดา “ปราชญ์” และ “ศาสดา” ผู้มาก่อน ผู้ประกาศ “สัจจะ” และ “วิถีปฏิบัติ” เพื่อนำพาเหล่า “เซเปียนส์” หรือ “คน”ให้พ้นผ่านจากปลักตมของ “สัญชาตญาณสัตว์” ล้วนถูกกระบวนการกลืนกลายพันธุ์ ทำให้คำสอนหรือเส้นทางเหล่านั้นถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของ “ระบบทุนนิยมใหญ่” แบบไม่มีทางเลือก
บรรดา “บัวที่ยังไม่โผล่พ้นน้ำทั้ง 3 เหล่า” ส่วนใหญ่ จึงต้องกลายเป็นอาหารของเต่าและปูปลาไปในที่สุด ด้วยพลังแรงเร้าอันอื้ออึงและเปี่ยมไปด้วยบริบทอันทรงพลังของ “ระบบทุนนิยมผูกขาด” อย่างที่เห็นปรากฏขัดอยู่ในสังคมไทยวันนี้ สังคมที่เต็มไปด้วยความทุกข์ คนทุกข์ (ทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว) หนี้สิน และ ความเน่าเฟะทางสังคมหลากหลายด้าน เป็นตัวอย่างให้เห็นเป็นรูปธรรม!
บัดนั้นจึงคล้ายมีคำถามแผ่วแว่วมาแต่ไกลๆว่า : แล้วอย่างไรละ สังคมไทย หรือ “คนไทย” ยังพอจะมีช่องมีทางให้ “หลุดพ้น” จากบ่วงแร้วแห่งชะตากรรมดังที่เป็นอยู่นี้ได้บ้างหรือเปล่าละ?
โชคดีเหลือเกิน ที่คล้ายจะมีความหวัง เพราะมีคำตอบ!
ในเรื่องนี้ท่านผู้รู้(อีกนั่นแหละ)ได้กล่าวอรรถาธิบายไว้ให้ได้รับฟังทั่วกันแบบยาวเหยียด ว่า-
“…สังคมไทยและคนไทย อาจสามารถ “หลุดพ้น” จาก “หนี้สินประชาชาติที่ล้นฟ้าล้นแผ่นดิน” จาก “ความเหนื่อยแบบแทบขาดใจในทุกวัน” จาก “ความทุกข์ของการเป็นหนี้ที่ถอนตัวไม่ขึ้น” จาก “เมืองโสเภณีที่มีแต่คนติดยา” จาก “ความมีเสรีภาพ และ ความเท่าเทียมแบบหลอกๆบนหน้ากระดาษ” และ จาก ฯลฯ
อีกนับร้อยสารพัน “จาก” ที่เกิดจากการถูก “โปรแกรม” โดยโปรแกรมเมอร์ลึกลับที่ชื่อ “ระบบทุนนิยมโลกยุคทุนผูกขาด” (World Imperialism) หรือที่บางใครเรียกว่า “ระบบจักรพรรดินิยม” ที่ฟังว่า มี “รังโจร” อยู่แถบโลกตะวันตกเสียเป็นส่วนใหญ่
แต่(ฟังมาอีกนะแหละ)ว่า พวกนี้มักมีสมุนรับใช้ผู้ซื่อสัตย์แทรกปนอยู่ในโลกตะวันออกในลักษณะ “คนกลุ่มน้อย” ทั่วไป เป็น “คนกลุ่มน้อย” ที่มักรู้จักกันในนาม “ชนขั้นนำ” (ทั้งการเมืองและเศรษฐกิจ)ทั้งหลายนั่นแหละ!
“คนกลุ่มน้อย” พวกนี้จึงมักจะมี “อำนาจ” (เพราะมีเครื่องมือคือ “ทุน” และ “กองกำลังจัดตั้งติดอาวุธ”) อยู่ในมือ
“ผู้รู้” ยืนยันอีกว่า แม้พวกนี้ดูเหมือนจะมี “อำนาจ” มากก็จริง แต่ใครๆก็สามารถหลุดพ้นจากอำนาจของพวกมันได้ ถ้า…
ถ้า…สามารถ “ปลดแอก” ตัวเองให้หลุดจากขื่อคาของ “ยาเสพติด” ที่ขื่อ “ความอยากมีอยากเป็นแบบไม่มีที่สิ้นสุด” ที่ระบบ “ทุนนิยม” โปรแกรมยัดเยียดผ่าน “กลุ่มอำนาจนำ” ในสังคมของเราเองมาให้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน โดยส่งผ่าน “เครื่องมือ” ในการโปรแกรม ที่มักเรียกกันจนดูดี ว่า “ระบบการศึกษา ระบบเศรษฐกิจและการเมือง” ฯลฯ จนทำให้คนธรรมดาๆที่ไม่รู้ทัน ต้องเต้นตามจังหวะกลองที่ใครก็ไม่รู้ตีจังหวะยั่วเร้าให้เต้นตาม เต้นตามจนขาดใจตาย…
“ผู้รู้” คนนั้นย้ำบอกอีกว่า “ในขั้นทดลอง” เพื่อการปลดปล่อย ขอให้เริ่มต้นที่การบอกยกเลิก “สมการทุนนิยม” ทำนองเหล่านี้ไปจากสมองให้ได้เสียก่อน เช่น :
สรรพสิ่ง(รวมทั้งคน)=สินค้า(product)/เงิน=สิ่งล้ำค่า=พระเจ้า/ความรวย=ความสุข/มูลค่า=คุณค่า/อายุน้อยร้อยล้าน=เก่ง ฯลฯ
แล้วให้ลองโปรแกรม “สมการเชิงพุทธ” พวกนี้เข้าไปแทนดูสักพักสิ เช่น :
“ทางสายกลาง” (คือ “มัชฌิมาปฏิปทา” ในพระพุทธศาสนาที่เป็น “ราก” ของสังคมไทยเรามาอย่างยาวนาน และ เพิ่ง “รากขาด” มาเมื่อไม่เกินครึ่งศตวรรษ และ มา “ขาดสะบั้น” ใน เจน Z นี่แหละ!) = ความพอเพียง (เออ!คำเดียวกับที่ไอ้ตลก จมูกบาน ตลกหลอกแดกกระฎุมพีไร้รสนิยมอะไรนั่นบอกทำไม่เข้าใจ ทำไม่ได้ ทำไม่เป็น…หรืออะไรๆแบบเยาะเย้ยเสียดสีนั่นแหละ!) = ความสุข(ความไม่เป็นหนี้เป็นลาภอันประเสริฐ!)
ขอยืม “ความรู้” เกี่ยวกับ “สมการสังคมไทย” จากท่าน “ผู้รู้” มาแค่ตัวอย่างเดียวก็น่าจะพอละมั้ง ส่วนเรื่องพวกจมูกบานจมูกโตอะไรนั่น ก็อย่าไปถือสาหาพระแสงอะไรให้มันจริงจังนัก มันก็แค่เรื่องของตัวตลกที่หาหลอกแดกไปวันๆ แต่เรื่องที่หยิบยืมท่าน “ผู้รู้” ยกมาให้ดูเรื่อง “ทางสายกลาง” นั่นเป็นเรื่องของ “พระพุทธเจ้า” ที่ค้ำจุนสังคมไทยเรามาอย่างยาวนานเป็นพันๆปีแล้วทีเดียวเชียวนา!!!