ร้อยเอก ดร.จารุพล เรืองสุวรรณ

อาจารย์ประจำสถาบันการทูตและการต่างประเทศ

มหาวิทยาลัยรังสิต

 

“โลกกำลังร้อนขึ้น” เรื่อยๆ และเป็นความร้อนแบบอุณหภูมิจริงๆ...ไม่ใช่อุณหภูมิทางการเมือง

เชื่อว่าผู้อ่านทุกท่านรู้จักกับคำว่า Global Warming หรือภาวะโลกร้อนกันมาหลายสิบปี หลายภาคส่วนพยายามกันอย่างหนักที่จะต่อสู้กับภาวะโลกร้อน แต่ปัจจุบันภาวะโลกร้อนซึ่งเปรียบเสมือน “การเผาหลอก” นั้นจบไปแล้ว โลกกำลังเข้าสู่การ “เผาจริง” หรือที่เรียกว่า ภาวะโลกเดือด (Global boiling) ภาวะโลกเดือดคืออะไร และส่งผลอะไรต่อมนุษย์อย่างเราได้บ้าง? สัปดาห์นี้เราจะมาคุยกันเรื่องความร้อนของโลกมีความน่ากลัวนั้นคืออะไร และเราควรต้องรีบทำอะไร เพื่อรักษาโลกใบนี้ไว้ให้ได้

ภาวะโลกเดือด ได้รับความสนใจจากคำกล่าวของอันโตนิโอ กูเตเรส เลขาธิการองค์การสหประชาชาติที่ว่า “The era of global warming has ended; the era of global boiling has arrived.” เมื่อกลางปี 2566 ที่ผ่านมา แปลได้ว่า “ยุคสมัยของภาวะโลกร้อนได้จบไปแล้ว ต่อไปนี้เป็นยุคสมัยของโลกเดือด” ซึ่งแน่นอนว่าหมายความถึงสภาพอากาศของโลกที่ร้อนขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จนส่งผลกระทบต่อ “สิ่งมีชีวิต” ทั่วโลก ทั้งพืช สัตว์ และแน่นอน มนุษย์ อย่างเราๆ ซึ่งกลางปีที่แล้ว (2566) ก็ได้รับการขนานนามว่าเป็นปีที่ร้อนที่สุดในประวัติการณ์ ความร้อนที่เกิดขึ้นนำมาซึ่งผลกระทบมหาศาล อาทิ อุณหภูมิของมหาสมุทรที่สูงขึ้นและร้อนที่สุดเท่าที่บันทึกได้ ที่อาจจำมาซึ่งปัญหาการละลายของน้ำแข็งขั้วโลก ปัญหาไฟป่าที่รุนแรงในหลายภูมิภาคทั่วโลก ปัญหาภัยแล้ง การเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ที่ล้มเหลว ไปจนถึงการเสียชีวิตของผู้คนจำนวนไม่น้อยจากอาการฮีทสโตรก

จากข้อมูลของรอยเตอร์เมื่อปี 2566 ที่ผ่านมาพบว่า ได้มีการคาดการณ์จากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพในระดับสากลไว้ว่า หากโลกร้อนขึ้น 2 องศาเซลเซียส ภายในปี 2050 โลกของเราน่าจะมีการเสียชีวิตด้วยความร้อน (ต่อปี) สูงขึ้นกว่า 370% ใช่ครับ ท่านอ่านไม่ผิด 370%! ซึ่งในปัจจุบันโลกของเราร้อนขึ้นแล้วประมาณ 1.1 องศา ผู้สูงอายุที่อายุเกิน 65 กลายเป็นกลุ่มเสี่ยงและมีจำนวนผู้เสียชีวิตด้วยความร้อนสูงขึ้นกว่า 47% ในทศวรรษที่ผ่านมาเทียบกับทศวรรษ 1991-2000

นี่เป็นสัญญาณเตือนอย่างแรงต่อความรุนแรงของปัญหาโลกเดือด ที่ไม่ได้จำกัดอยู่ที่ภัยแล้ง หรือไฟป่าอีกต่อไป แต่ลามมาเป็นปัญหาใกล้ตัวพวกเราทุกคนมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในด้านสุขภาพที่อาจนำไปสู่ความ “ตุย” ได้ไม่ยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทยของเราที่มีอุณหภูมิสูงมากขึ้นเรื่อยๆทุกปี

ความสำคัญของปรากฏการณ์นี้ นอกจากอันตรายด้านสุขภาพที่กล่าวไป ยังสามารถนำเราไปสู่ปัญหาความมั่นคงอื่นๆอีกมากมายอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาความมั่นคงทางอาหาร ที่หลายๆพื้นที่ไม่สามารถเพาะปลูกได้เช่นเคย ปัญหาไฟป่าที่นำมาซึ่งการสูญเสียพืชพันธุ์ธัญญาหารและสัตว์ทั้งหลาย ปัญหาความมั่นคงด้านน้ำหรือแม้แต่น้ำท่วมฉับพลัน ที่มักตามมาเป็นเงากับความแล้งที่กินเวลานาน มิหนำซ้ำอาจนำมาซึ่งการโยกย้ายถิ่นฐานของมนุษย์และความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นเพื่อแย่งแหล่งน้ำและอาหาร ซึ่งแน่นอนว่าการโยกย้ายถิ่นฐานก็จะนำมาซึ่งปัญหายิบย่อยอื่นๆอีกเป็นลูกโซ่ ไม่ว่าจะเป็นการค้ามนุษย์ การค้าสิ่งผิดกฎหมาย ปัญหาโรคระบาด และอื่นๆอีกมากมาย นอกจากนี้ยังอาจส่งผลกระทบต่อภาคเกษตรและอุตสาหกรรมของหลายประเทศ กลายเป็นต้นทุนมหาศาลของรัฐบาลต่างๆในการบริหารจัดการภายใต้สภาวะที่เปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน

ถามว่าแล้วมันเกิดจากอะไร? สรุปได้สั้นๆว่า เกือบ 100% ของต้นตอปัญหาเกิดจาก “มนุษย์”

พวกเรานี่แหละครับที่ทำให้เกิดปัญหา โดยเฉพาะการปล่อยแก๊สเรือนกระจกจากชีวิตประจำวันของเรา ทั้งอาหารการกิน การเดินทาง การผลิตสินค้าและบริการ การทำลายป่าไม้ การสร้างขยะทั้ง plastic waste และ food waste และอื่นๆอีกมากมาย ทั้งหมดทั้งมวลล้วนเป็นต้นตอเล็กๆที่เกิดจากมือคนทั้งโลกจนกลายเป็นปัญหาใหญ่ในปัจจุบัน

หากเราไม่สามารถควบคุมอุณหภูมิไม่ให้สูงเกิน 1.5 องศาได้ ปัญหาที่กล่าวมาข้างต้นอาจเกิดขึ้นในสเกลที่ใหญ่ขึ้นและรุนแรงมากขึ้น ถึงวันนั้นโลกของเราคงปั่นป่วนไม่น้อย และเราอาจจะได้เห็นโลกที่นักวิทยาศาสตร์บอกไว้ว่า “ไม่สามารถจินตนาการได้” ก็เป็นได้

ปัญหานี้ เป็นปัญหาใหญ่ ที่ใหญ่จริงๆครับ ส่วนตัวผมมองว่า ใหญ่กว่าปัญหาการเมืองและความขัดแย้งต่างๆเสียอีก ในเวลานี้ ผู้คนทั่วโลกควรจับมือกันให้แน่น ช่วยกันลดแก๊สเรือนกระจก ร่วมกันใช้พลังงานสะอาด พัฒนาขนส่งและใช้ขนส่งสาธารณะมากขึ้น ช่วยกันลดขยะให้โลก หันมาบริโภคอาหารอย่างพอดีและหันไปใช้แหล่งอาหารที่มีความยั่งยืนมากขึ้น และที่สำคัญที่สุดก็ควรช่วยกันเพิ่มพื้นที่สีเขียว เรียกว่าวันนี้ต้องลดอีโก้และผลประโยชน์ของตนลงบ้าง หันมาร่วมมือกันเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด

รัฐบาลทั่วโลกควรนำเรื่องนี้มาเป็นหัวใจหลักในการพัฒนาประเทศโดยเร็วที่สุด ถึงเวลาที่ต้องวางความขัดแย้ง แล้วหันมาร่วมมือกัน...ก่อนจะสายเกินไป

เขียนบทความนี้จบ เล่นเอาไม่กล้าเปิดแอร์เลยครับ ฮ่าๆๆๆ

เอวังครับ