สมาคมธนาคารไทย ให้ความหมายของ บัญชีม้า เอาไว้ ว่า “บัญชีม้า คือ บัญชีที่ถูกเปิดเพื่อผลประโยชน์บางอย่าง เช่น นำไปใช้ทำเรื่องผิดกฎหมาย หรือเอาไว้ใช้สำหรับถ่าย เท หรือใช้ในการฟอกเงิน โดยบัญชีม้าคนที่ถือครองบัญชีมักจะไม่ใช้เจ้าของตัวจริง แต่จะเป็นของมิจฉาชีพนำไปใช้ ซึ่งส่วนใหญ่มิจฉาชีพจะใช้วิธีการจ้างวานคนทั่ว ๆ ไปให้ทำการเปิดบัญชีธนาคาร โดยให้เงินค่าจ้างแล้วแต่ตกลงกัน ซึ่งส่วนใหญ่มิจฉาชีพมักมองหาเหยื่อที่อยู่ในช่วงวัยรุ่น หรือคนสูงอายุ เพราะใช้เงินเป็นตัวหลอกล่อให้ตกหลุมพราง หรืออีกวิธีก็คือการสวมรอยเป็นเจ้าของบัญชี โดยการขโมยข้อมูลส่วนตัว เช่น ชื่อ-นามสกุล เบอร์โทรศัพท์ และหมายเลขบัตรประชาชนจำนวน 13 หลัก แล้วนำไปเปิดบัญชีออนไลน์ กว่าจะเจ้าของข้อมูลจะรู้ตัว ก็สายไปเสียแล้ว

บัญชีม้า คือ บัญชีที่ตัวแทนในการใช้ทำธุรกรรมทางการเงินต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการโอน รับโอน หรือชำระเงิน เป็นต้น ซึ่งการมีบัญชีม้าจะสามารถช่วยปิดบังตัวตนที่แท้จริงของผู้ดำเนินธุรกรรมได้

อย่างไรก็ตาม ตามปกติแล้วคนธรรมดาส่วนใหญ่มักจะไม่ได้มีการเปิดบัญชีม้าดังกล่าวกัน แต่ผู้ที่ใช้ส่วนใหญ่คือกลุ่ม “มิจฉาชีพ” เพื่อใช้ปกปิดตัวตนที่แท้จริงสำหรับก่อเหตุหรือกระทำความผิด ด้วยเหตุนี้ กลลวงมิจฉาชีพแทบจะทุกรูปแบบจึงมักมีการใช้บัญชีม้าประกอบด้วยเสมอ 

ยกตัวอย่างเช่น แก๊งหลอกลวงคอลเซ็นเตอร์ ที่กำลังระบาดหนักในปัจจุบัน บัญชีม้า ก็เข้ามามีบทบาทสำคัญในการก่อเหตุ โดยเมื่อมีการหลอกลวงให้คนโอนเงินได้สำเร็จ ส่วนใหญ่แล้วบัญชีที่เหยื่อโอนเงินไปนั้น มักไม่ใช่ของเจ้าตัว แต่เป็นบัญชีของบุคคลที่สามหรือบัญชีม้านั่นเอง”

สำหรับสถานการณ์ของบัญชีม้า ล่าสุด  นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย  ในส่วนที่ธนาคารพบเองโดยใช้ข้อมูลจากตำรวจ ส่งผลให้ธนาคารได้ปิดบัญชีม้าราว 300,000 บัญชี ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ (ศูนย์ AOC 1441) ปิดบัญชีม้า 112,699 บัญชี และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ปปง. ปิดบัญชีม้า 318,298 บัญชีรวมทั้งหมดราว 730,997 บัญชี ทั้งนี้ จากการอายัดบัญชีดังกล่าว มีเงินค้างอยู่ในระบบล่าสุดกว่า 900 ล้านบาท คาดว่าจำนวนเงินเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในส่วนการจะคืนเงินให้กับผู้เสียหายต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบ พิสูจน์ ก่อนเฉลี่ยคืนผู้เสียหาย

อย่างไรก็ตาม เราเห็นว่าแม้จะมีความพยายามในการป้องกันและปราบปรามแต่ปัญหาอาขญากรรมออนไลน์ยังคงรุนแรงและซับซ้อนมากขึ้น การสร้างภูมิคุ้มกันด้วยความรู้ให้กับพี่น้องประชาชน คู่ขนานไปนั้นอาจยังไม่เพียงพอ ต้องเร่งปลูกฝังจิตสำนึก เปลี่ยนค่านิยมในการหากินอย่างสุจริต ล้างทัศนคติภาพภาพลักษณ์ชีวิตหรูหราร่ำรวย โดยไม่สนใจที่มาของเงินเหล่านั้นว่าบริสุทธิ์หรือไม่อย่างไร หรือมาจากความทุกข์ของผู้อื่น ที่มองเห็นเพียงว่าเหยื่อนั้นโง่เอง