สถาพร ศรีสัจจัง
นักปรัชญาตะวันตกชาวนครกรีก (สังคมที่เป็นฐานรากทางความคิด และ “กระบวนทัศน์” หรือ ที่ภาษาฝรั่งเรียกว่า “Paradign” สำคัญที่สุดของชาติตะวันตกวันนี้) อย่างนาย “อริสโตเติล (Aristotle) กล่าวสรุปความถึงลักษณะสำคัญที่พิเศษสุดของความเป็นมนุษย์ จนกลายเป็นเหมือน “สิ่งที่เห็นจริงแล้ว” ทางเรขาคณิตไปในที่สุด
สรุปเป็น “วาทกรรม” (Discourse) สั้นๆให้พอเข้าใจง่ายๆได้ประมาณว่า “มนุษย์” เป็น สัตว์ “สังคม” ( “Humans are social annimals”)
{โปรดอย่าลืมคำว่า “สัตว์” เพราะจริงๆแล้ว สิ่งที่เรียกว่า “คน” หรือ “มนุษย์” นั้นก็คือสิ่งมีชีวิตชนิดที่เรียกว่า “สัตว์”(Annimals) สปีชีส์หนึ่ง ที่นักวิทยาศาสตร์ (Sciencists) ด้านชีวภาพเรียกว่า “โฮโมเซเปียน” (Homosapien)}
ที่ว่าเป็น “สัตว์สังคม” นั้น นักวิชาการบางท่านในชั้นหลังสรุปได้เป็นความสั้นๆประมาณว่า : “เพราะมนุษย์มีการอาศัยอยู่ร่วมกันอย่างเป็นหมวดหมู่ มิได้ใช้ชีวิตอยู่เพียงคนเดียวตามลำพังแต่อย่างใด เนื่องจากมนุษย์ต้องทำกิจกรรมร่วมกันอยู่ตลอดเวลา ต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน และแต่ละชีวิตต่างก็ต้องการที่จะเสริมสร้างความสุข ความมั่นใจ และความปลอดภัยให้กับตนเองอยู่เสมอ…”
แต่…ที่ยกเรื่องราววาทกรรม “มนุษย์เป็นสัตว์สังคม” ของชาวกรีกโบราณที่ชื่อ “อริสโตเติล” ขึ้นมาก็เป็นเพียงเพราะ เมื่อไม่กี่วันก่อนได้มีโอกาสอ่าน “บทกวี” บทหนึ่ง อ่านแล้วฉุกคิดถึงอะไรหลายเรื่อง เรื่องหนึ่งก็คือคิดถึงวาทกรรม “มนุษย์เป็นสัตว์สังคม” ของท่าน “อริสโตเติล” ที่มีอิทธิพลทางความคิดต่อนักวิชาการในชั้นหลังอย่างเหลือหลายนี่แหละ…
บทกวีที่่เพิ่งได้อ่านเกี่ยวข้องกับวาทกรรมของ “อริสโตเติล” อย่างไร?
ก็ไม่น่าจะเกี่ยวอะไรหรอก แต่ที่น่าสนใจก็คือบทกวีชิ้นนี้มีขื่อว่า “สัตว์สงคราม!” แล้วมีข้อความในวงเล็บ (ทำนองเป็น “ชื่อรอง” ละมั้ง?)ว่า (“Imperialism” หรือ พวกต่ำช้ากว่าสัตว์เดรัจฉาน!)
ก็จะลองคัดลอกบางตอนมาให้ลองอ่านร่วมกันสักหน่อยก็แล้วกันละนะ…สั ต ว์ ส ง ค ร า ม ! (“Imperialism” หรือ “พวกต่ำช้ากว่าสัตว์เดรัจฉาน!”)
เรียกว่า “สงคราม” หรือความพินาศ/เมื่อซาตานเมื่อปีศาจปราดเข้าสิง/ความเกลียดโกรธก่อพลังความชังชิง/ความดีงาม,ทุกสิ่ง-ก็พังครืน…/สัญชาตญาณการ “ห้ำ” ขย้ำเหยื่อ/เข้าครอบใจไม่เหลือความเริงรื่น/ผู้บริสุทธิ์ทั้งสิ้นต้องกินกลืน/ความขมขื่น,ความตาย-ใต้มือใด?/ระบบ “ทุนสาไถย” สอนให้ฆ่าเพียงเพื่อว่ากูจะได้กลายเป็นใหญ่/มีอำนาจมีความอยากมากกว่าใคร/โลกจะร้อนอย่างไรไม่นำพา/จึง “ผูกขาด” ความชั่วช้ายิ่งกว่าสัตว์/ความถนัดความชำนาญ-คือการฆ่า/มองมนุษย์เหมือนเป็นเช่นผักปลา/จึงเต็มคราบบาปหนา-เต็มสามานย์!/ “มัน” ทำลายทั้งสิ้น มันกินโลก/มันก่อความวิปโยคทุกหย่อมนย่าน/มันทำทุกสารพันที่อันธพาล/มันชั่วกว่า “ซาตาน”- “มารผจญ” !/มันกำเนิดเกิดมาเพื่อฆ่ามนุษย์/มีเป้าหมายสูงสุดคือการปล้น!/มันมีจิตวิญญาณเหมือนเครื่องยนต์/เยี่ยงจักรกล “เอ.ไอ” ไร้คุณธรรม/สั่งสมแต่สันดานเรื่องการชั่ว/ทั้งมักมากทั้งมืดมัวเป็นตัว “ห้ำ”/กระตุ้น “อยาก” ให้มากล้น เหมือนมนต์ดำ/เข้าครอบงำใจคนจนละลาย/บริโภคไม่รู้สิ้น กินไม่จบ “คน” จึงกลายเป็นศพเอาง่ายง่าย/ถูกจับมัดตราสังขึ้นตังวาย/เป็นเครื่องเซ่นวางถวายใต้ตีน “ทุน”!/
๐ เคยเรียนรู้ จนพัฒนากว่า “สัตว์” อื่น/เคยรู้ “ตื่น” รู้ดีที่อบอุ่น/ “พวกนี้” กลับทำลายกลายเป็นจุณ/ยกทัพเถื่อน “ระบบทุน” เข้าโจมตี!/แรงอุทิศกี่ปราชญ์-กี่ศาสดา?/มนุษย์จึงก้าวหน้ามาถึงนี่/พบความจริง-เห็นความงาม-รู้ความดี/กระทั่งพวกกาลีเข้าทำลาย…ฯ” (ยังมีต่ออีก)
(โปรดอ่านแต่ละวรรคเป็นจังหวะกลอน 8 นะจ้ะ)
ไม่แน่ใจว่าอ่านแล้วรู้สึกอะไร?หรือคิดเห็นอย่างไรกันบ้าง?
มีประเด็นสำคัญที่ต้องบอกเพิ่มอีกนิดก็คือ เมื่อจบบทกลอน ผู้เขียนทำเครื่องหมายดอกจันไว้เป็นเหมือน “เชิงอรรถ” แล้วพิมพ์ข้อความกำกับไว้ว่า “อุทิศแต่ ผู้บริสุทธิ์ ชาวปาเลสไตน์ อิสราเอล ยูเครน และ รัสเซีย ที่ต้องตายไปเพราะ “สัตว์สงคราม” ที่ใจเปื้อนเลือด!”
คนอื่นไม่ทราบมีความ “รู้สึก” (Emotion) กับบทกลอน และ ข้อความบันทึกท้ายบทที่ยกมาให้ดูอย่างไรกันบ้าง แต่คนเขียนเรื่องนี้ เมื่ออ่านแล้ว ก็ให้รู้สึกเหมือนรื้นแน่นขึ้นในหัวอก วูบวาบผ่าวๆที่วงตา และสมองก็พลันฉายเห็นภาพ “ความตาย”ของคนบริสุทธิ์ ของผู้หญิง คนชรา และเสียงกรีดร้องที่แสนสั่นสะทกของเด็กๆ…เห็นความพังพินาศล่มสลายของสิ่งปลูกสร้างและบ้านเรือนของพี่น้องในแผ่นดินปาเลสไตน์มาลอยเด่นอยู่ตรงหน้า!
มนุษยชาติกลายเป็น “สัตว์สงคราม” (War annimals) ไปหมดสิ้นแล้วจริงๆหรือ?
หรือเป็นเพียงพวกมนุษย์ “กลายพันธุ์” บางกลุ่มบางพวก ที่ผู้เขียนกลอนบทนี้เรียกว่า “กู” ในบทกลอนช่วงที่ว่า “…ระบบทุนสาไถยสอนให้ฆ่า/เพื่อว่า “กู” จะได้กลายเป็นใหญ่…”?
แล้ว “กู” ในที่นี้คือใครกันละ?
ดูเหมือนคำเฉลยหรือคำตอบจะชี้ชัดอยู่แล้วในบางคำของ “หัวเรื่องรอง” นั่นคือคำที่เป็นภาษาอังกฤษที่ว่า “Imperialism” ที่เขาแปลกำกับเป็นกลอนวรรคหนึ่งไว้ว่า “พวกต่ำช้ากว่าสัตว์เดรัจฉาน” นั่นแหละ! (คำ “Imperialism” แปลว่า “ระบบจักรพรรดินิยม” หรือ “ระบบทุนนิยมผูกขาด” นั่นเอง)
คนเล็กๆบางคนเขาทนไม่ไหว แม้เขาจะทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการลงมือทำเพื่อแสดงถึงการประณาม “พวกต่ำช้ากว่าสัตว์เดรัจฉาน” เพียงในรูปของกลอนบทหนึ่ง…
แล้วคนใหญ่ๆที่มีอำนาจล้นฟ้าล้นแผ่นดินในบ้านนี้เมืองนี้ละ?แล้วผู้ท่านนำทางความคิดของพรรคการเมืองใหญ่ๆที่แสดงตัวตนโดดเด่นมาโดยตลอดว่า “รักความเป็นธรรม” กันเหลือเกินนั่นละ? ทำอะไร หรือแสดงการประท้วงอะไรให้เห็นบ้าง?
แล้วบรรดานักศึกษากลุ่ม “หัวก้าวหน้า” ที่เคลื่อนไหวต่อต้านและประท้วงเรื่อง “สิทธิมนุษยชน” หรือ “ความไร้มนุษยธรรม” อะไรกันอยู่โครมๆนั่นอีกละ? พวกเขาทำอะไรในเรื่องนี้กันบ้าง? ขณะที่นักศึกษาทั่วโลก (โดยเฉพาะในประเทศ “จักรพรรดินิยมใหญ่” ที่นักศึกษาในเมืองไทยกลุ่มนี้เมักยกย่องเหมือน “พ่อ” ที่เคารพของพวกตนมาโดยตลอด!!)กำลังประท้วงต่อสู้เพื่อยุติสงครามที่ชาวปาเลสไตน์ผู้บริสุทธิ์ต้องล้มตายและบาดเจ็ยไปแล้วเป็นจำนวนหลายหมื่นคน จนพวกนักศึกษาเหล่านั้นต้องถูกจับกุมคุมขังไปแล้วเป็นพันๆคน!หรือเรื่องสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งนี้จะไม่ใช่เรื่อง “การละเมิดสิทธิมนุษยชน” ที่นักศึกษาหัวก้าวหน้าในเมืองไทยยุคปัจจุบันชอบยกมาอ้างกันนักหนา?…
นี่ยังไม่นับบรรดาพี่น้องมุสลิมไทยที่เป็น “ร่างเดียวกัน” กับพี่น้องมุสลิมปาเลสไตน์เลยนะ ว่าได้ทำสิ่งที่ควรทำกันบ้างแล้วหรือยัง? ทำอะไรกันบ้าง? แต่ไหนหรืออย่างไร? ใครช่วยตะโกนเสียงดังๆถามข้างๆหูท่านประธานรัฐสภาฯไทยผู้ทรงเกียรติคนนั้นให้ด้วยสักทีเถอะ!!