ในห้วงหลังเทศกาลสงกรานต์ เริ่มมีการพูดถึงโรคโควิด มีคนรู้จักที่ไม่เคยติดโควิดมาก่อน ก็ติดโควิด  แม้จะไม่มีอาการรุนแรง เพียงแต่อ่อนเพลียและเป็นไข้หวัด

แม้ในช่วงเทศกาลที่ผู้คนแออัดทั้งนักท่องเที่ยวชาวไทยชาวต่างชาติ อาจเป็นหนึ่งในปัจจัยของการแพร่ระบาด แต่ก็เป็นที่น่าสังเกตว่าในการดำเนินชีวิตประจำวันหลังเทศกาลผ่านพ้นไป เมื่ออยู่ในสถานที่มีคนพลุกพล่านและแออัด เช่น บนรถสาธารณะ เช่น รถประจำทาง หรือรถไฟฟ้า เริ่มเห็นคนที่ไม่สวมหน้ากากอนามัยเพิ่มมากยิ่งขึ้น

ซึ่งเมื่อไปดูข้อมูลของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ก็พบว่า ในระหว่างวันที่ 21 - 27 เมษายน 2567 พบผู้ป่วยโรคโควิด 19 ที่ต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลจำนวน 1,672 ราย เฉลี่ย 239 รายต่อวัน ผู้ป่วยปอดอักเสบ 390 ราย ใส่ท่อช่วยหายใจ 148 ราย และมีผู้เสียชีวิต 9 ราย เมื่อเทียบกับ วันที่ 14 - 20 เมษายน 2567 พบว่า ผู้ป่วยโรคโควิด 19 เพิ่มขึ้นเล็กน้อย

นพ.ธงชัย กีรติหัตถยากร อธิบดีกรมควบคุมโรค  เปิดเผยว่า  สถานการณ์เป็นไปตามคาดการณ์ เนื่องจากโรคโควิด 19 กลายเป็นโรคประจำถิ่น สามารถพบผู้ป่วยได้ตลอดทั้งปี และยังเป็นโรคประจำฤดูกาล โดยจะพบผู้ป่วยมากขึ้นตั้งแต่ช่วงเทศกาลสงกรานต์ต่อเนื่องจนถึงฤดูฝนที่กำลังจะถึงนี้และจะเป็นช่วงเปิดเทอมด้วย ไม่ต่างจากโรคทางเดินหายใจอื่นๆ ทั้งไข้หวัดใหญ่ โรคติดเชื้อไวรัสอาร์เอสวี เป็นต้น

ทั้งนี้ อธิบดีกรมควบคุมโรค ย้ำว่า ความรุนแรงของโรคโควิด 19 ลดลงอย่างมาก จากการวิเคราะห์ข้อมูลติดตามย้อนหลังในช่วง 3 - 4 ปีที่ผ่านมาพบว่าอัตราป่วยตายของโรคโควิด 19 ลดลงจาก 0.98% (ปี 2563 - 2564) เป็น 0.04% (ปี 2567) ซึ่งใกล้เคียงกับไข้หวัดใหญ่ และต่ำกว่าไข้เลือดออก สำหรับสายพันธุ์ของเชื้อไวรัสโควิด 19 ปัจจุบันคือสายพันธุ์ย่อยของ XBB.1 ซึ่งเป็นลูกหลานของโอมิครอน อาการไม่รุนแรง เป็นเหมือนหวัดธรรมดาทั่วไป ซึ่งจุดนี้เองอาจทำให้ประชาชนไม่ได้ระวังจึงแพร่เชื้อต่อกันได้ง่าย สิ่งสำคัญคือต้องระมัดระวังไม่นำเชื้อไปสู่กลุ่มเสี่ยง ซึ่งจากข้อมูลผู้เสียชีวิตทุกรายยังพบว่า เป็นกลุ่ม 608 โดยเฉพาะผู้สูงอายุหรือมีโรคประจำตัวเรื้อรัง

“ดังนั้น จึงขอให้ประชาชนมีความตระหนักแต่ไม่ตระหนก โดยประชาชนทั่วไปควรเน้นสุขอนามัยส่วนบุคคล สวมหน้ากากอนามัย เมื่ออยู่ในสถานที่แออัด หรือที่ที่มีการรวมกลุ่มคนจำนวนมาก เช่น ในการเดินทางสาธารณะ ที่โรงพยาบาล และสถานที่ดูแลผู้สูงอายุ และหมั่นล้างมือบ่อยๆ หากมีอาการคล้ายหวัด ควรทำการตรวจ ATK และหลีกเลี่ยงการใกล้ชิดกับกลุ่มเสี่ยง 608 หากผลตรวจเป็นบวก 2 ขีด ให้สวมหน้ากากเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อและพบแพทย์โดยเร็วเมื่อมีอาการหายใจลำบากหรืออื่นๆ เพื่อป้องกันการนำเชื้อไปแพร่สู่กลุ่มเปราะบางในบ้าน สำหรับกลุ่ม 608 หากมีอาการคล้ายหวัด และผลตรวจ ATK เป็นบวก 2 ขีด ควรสวมหน้ากากและรีบพบแพทย์ เพื่อรับการรักษา เพื่อลดโอกาสในการเกิดอาการรุนแรง”

กระนั้นเราๆท่านๆ นอกจากจะต้องระมัดระวังตัว และปฏิบัติตามหลักสุขอนามัยแล้ว ยังต้องเสริมภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ พักผ่อนและออกกำลังกายอย่างสมดุล ที่สำคัญคือการอัปเดตข้อมูลข่าวสารด้านสุขภาพ จากแหล่งที่มาที่ถูกต้อง เพื่อไม่ให้เกิดความหลงผิด