ทั้ง เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ต่างพร้อมใจกันเดินสายลุยอีสาน เมื่อวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยทั้งคู่ไปเจอกันและขึ้นเวทีพบปะพี่น้องประชาชน ที่อ.พยัคฆภูมิพิสัย จ.มหาสารคาม 


 นายกฯเศรษฐา มีคิวลงพื้นที่  ติดตามประเด็นยาเสพติดและหนี้นอกระบบ ที่ว่าการอ.พยัคฆภูมิพิสัย มหาสารคาม จากนั้นแวะไปเวทีที่พรรคเพื่อไทยจัดขึ้น โดยมี หัวหน้าพรรคคืออุ๊งอิ๊ง ยกทีมเพื่อไทย ไปพบประชาชน พร้อมทั้งเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครชิงนายกอบจ. มหาสารคาม นั่นคือ พลพัฒน์ จรัสเสถียร น้องชาย ยุทธพงษ์ จรัสเสถียร แกนนำพรรคเพื่อไทย  มหาสารคาม 


 เวลานี้ สิ่งที่ปรากฏชัดเจน แม้นายกฯจะดำเนินปรับครม.ครั้งล่าสุดมา สู่ เศรษฐา1/2 ไปเรียบร้อยแล้วก็ตาม แต่การปรับเปลี่ยนตำแหน่งผู้เล่น ทั้งในส่วนของพรรคเพื่อไทย เองไปจนถึงพรรคร่วมรัฐบาล ในบางเก้าอี้ ยังไม่ได้การันตีว่า คะแนนนิยม และ ความเชื่อมั่น จะพลิกกลับมาให้กับพรรคเพื่อไทยอยู่ใน แดนบวก   


 เมื่อเบื้องลึก เบื้องหลังของการปรับครม. ยังมีเรื่องของ แรงกระเพื่อม ไปจนถึงการข้อครหาว่า ปรับแล้วก็ยัง ผิดฝาผิดตัว มิหนำซ้ำยังสร้าง ปัญหาใหม่ ให้กับตัวนายกฯเศรษฐา เอง เมื่อล่าสุดมีผู้ไปยื่นเรื่องขอให้มีการตรวจสอบ คุณสมบัติ ของ พิชิต ชื่นบาน ที่ถูกตั้งให้เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ นั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ และหากพบว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญ  ปัญหายังจะลุกลามมาถึงตัว นายกฯ ด้วยว่าเข้าข่ายทำผิดจริยธรรมร้ายแรงหรือไม่ 


 สถานการณ์ของพรรคเพื่อไทย หลังนั่งบริหารประเทศล่วงเข้าเดือนที่ 8  ดูเหมือนว่า ผลงาน ยังไม่ปรากฏชัด  มิหนำซ้ำ นโยบายแจกเงินหมื่นผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ที่ปักธงกันเอาไว้ว่า ไตรมาสที่ 4 นั้นเงินหมื่นจะเข้ากระเป๋าคนไทยที่อายุเกิน 16ปี จำนวน 50 ล้านคนแน่นอนนั้น ก็ยังเป็นการมองจาก รัฐบาลและพรรคเพื่อไทยเพียงมุมเดียว อย่าลืมว่า ประเด็นเรื่อง ที่มาของเงิน ที่จะนำมาจาก ธกส.นั้นคือปัญหาใหม่ และจะกลายเป็น ปัญหาใหญ่ ที่ยังต้องรอลุ้นในวันข้างหน้า 


 ดังนั้นเท่ากับว่า 8เดือนสำหรับพรรคเพื่อไทย ยังไม่สามารถ ทำแต้มต่อ ทิ้งห่าง คู่แข่ง อย่าง พรรคสีส้ม ไปได้อย่างชัดเจน จึงต้องรอลุ้นเพียงทางเดียวให้พรรคก้าวไกล เจอ อุบัติเหตุ ทางการเมือง ถูกยุบพรรค  แต่ขณะเดียวกัน ดูเหมือนว่า พรรคเพื่อไทยเอง ที่ได้ประโยชน์ ทั้ง ต่อพรรคและ ครอบครัวชินวัตร ภายใต้ ดีลลับ หลังเลือกตั้งที่ผ่านมา นั้น ยังต้องทำงานหนัก  และต้องใช้ปฏิบัติการเดินสองขา ควบคู่กันไป ทั้งในส่วนของพรรคเพื่อไทย และรัฐบาลภายใต้การนำของนายกฯเศรษฐา  
 และเป็นยุทธศาสตร์ที่ อดีตนายกฯทักษิณ เคยใช้มาโดยตลอด ตั้งแต่ครั้งทำพรรคไทยรักไทย มาจนถึงพรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทย นั่นคือทุกองคาพยพที่มีอยู่จะต้องถูกนำมาใช้และจัดสรรหน้าที่กันไปตามภารกิจ   


 จากนี้ต้องจับตาว่า การจัดสรรเก้าอี้ เศรษฐา1/2 ที่ถูกวิจารณ์ว่าผิดฝาผิดตัวนั้น แท้จริงแล้ว รัฐมนตรี แต่ละคน ล้วนแล้วแต่มี ภารกิจ ที่ต้องเร่งทำคะแนน และใช้กลไกรัฐในมือ เปิดเกมรุก ไปพร้อมๆกับสมาชิกพรรคเพื่อไทย  ที่เดินหน้าขาทางการเมืองไปพร้อมๆกันด้วยหรือไม่