“ไข่เศรษฐา” เบอร์ 0 ดิ่งราคาขึ้น (ไม่ใช่ดิ่งลง) ไปถึง 6 บาทต่อฟองแล้ว! แพงกว่า “ไข่ลุงตู” แบบเทียบไม่ได้ นี่หรือที่บอกว่าจะมาแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ!
“ทุกตลาดนัดในประเทศซบเซาแบบสุดๆ คนไม่มีเงินซื้อของ หนี้สินประชาชาคิเพิ่ม หนี้สินครัวเรือนยุค “เศรษฐา” ดิ่งขึ้นจนเกือบชนเพดานแล้ว…กว่า ร้อยละ 95.5 ของ จีดีพี.!"
“ตอนนี้ร้านรวงระดับชาวบ้านทุกแห่งเงียบเหมือนป่าช้า แทบไม่มีคนซื้อของ พ่อค้าแม่ค้ารายย่อยกำลังจะตาย ที่ขายได้มีเพียงร้านสะดวกซื้อของพวกเจ้าสัว!”
“สุดารัตน์” บอก โครงการ “คนละครึ่ง” ของ “ลุงตู่ ดีกว่าโครงการ” ดิจิทัล วอลเล็ตของ “เศรษฐา” !
“ผู้ว่าแบงก์ชาติ ยืนหยัดค้าน” โครงการแจกเงินดิจิตัล “ของนายกฯเศรษฐาแบบยอมหักไม่ยอมงอ!” ฯลฯ
นี่คือตัวอย่าง “เสียงสะท้อน” บางส่วน จาก “พาดหัว” ของบรรดาสื่อมวลชนทั้ง “ออฟไลน์” และ “ออนไลน์” (ยกมาให้ดูเพียงเล็กๆน้อยๆพอเป็นเป็นกระสายยา) เฉพาะที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจยุค “รัฐบาลเศรษฐา 1” ที่แสดงให้เห็นถึงอาการ “ดิ่งลง” ของเศรษฐกิจประเทศไทยยุค “เศรษฐา 1” (หลายใครว่าคงจะต่อจนถึงยุคเศรษฐาตอนจบ!!
เกิดขึ้นในช่วงยาม 7 เดือนภายใต้การบริหารประเทศไทยของรัฐบาลผสมหลายพรรค !
โดยการนำของนายกรัฐมนตรี(ที่หลายเกจิทางการเมืองมักเติมคำ “นอมินี” ต่อท้ายตำแหน่งให้ด้วย)ที่ชื่อ “นายเศรษฐา ทวีสิน” “แคนดิเดต” จากพรรค “เพื่อไทย” (พรรคการเมืองที่มีประวัติศาสตร์การเปลื่ยนชื่อพรรคมากที่สุด เพราะถูกยุบแล้วยุบอีกหลายครั้งหลายหน)
นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นอดีต CEO. ของบริษัทอสังหาริมทรัพย์มหาชนชื่อดัง นาม “แสนสิริ” ที่ผลประกอบการในปี2566 มีผลกำไรสูงลิ่วถึง 6,060 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 42% ขณะที่ชาวบ้านร้านตลาดหรือราษฎรธรรมดาของประเทศไทยทั่วไปกำลังจะอดตายและเป็นหนี้ครัวเรือนท่วมหัว!
ชื่อของ “นายเศรษฐา ทวีสิน” เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางขึ้นอย่างรวดเร็วในวง “การเมือง” จากกรณีที่เรียกกันว่า “ว.5 โฟร์ซีซั่น” ยุคนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทยที่ชื่อ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” น้องสาวคนงามของคนชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” (ผู้มากเงินตราบารมีระดับ “จักรพรรคิ” ยุค “หลังสมัยใหม่” แห่งตระกูล “ชินวัตร” จากอำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ ผู้สร้างประวัติศาสตร์การกลับมารับโทษคดีคอร์รัปชันซึ่งถูกศาลสั่งจำคุกรวม 8 ปี โดย “ไม่ต้องติดคุกแม้สักวันเดียว” ตามที่ตัวเขาได้เคยประกาศไว้ล่วงหน้าอย่างอหังการ ตั้งแต่เมื่อยังหลบหนีคดีเสวยทรัพย์เสวยสุขอยู่ ณ ต่างประเทศ)
ใครที่อยากรู้เกี่ยวกับรายละเอียดเรื่อง “คดี ว.5 โฟร์ซีซั่น” ของคุณ “นายกฯยิ่งลักษณ์” ว่าสนุกสนานปนกลิ่นคาวๆอย่างไรบ้าง ก็ขอให้ไปพลิกไฟล์เก่าๆดูกันเอาเองเถอะ ดูเหมือนเรื่องจะถึงศาลและศาลท่านก็ “พิพากษา” ไว้เรียบร้อยแล้ว ที่นี่ไม่มีพื้นที่กว้างขวางพอจะสาธยายให้ฟัง!
พูดถึงเรื่อง “ที่มาที่ไป” ของ คุณเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย ผู้เข้า “เสียบ” แทน “นายกฯว่าว” ที่ชื่อ “พิธา นักกายกรรม” …เอ้ยไม่ใช่ “นักวาทกรรม” (คนนั้นนั่นแหละ)เสียยาว
ไหนๆ ก็นอกเรื่องไปมากแล้ว ขอบอกเพิ่มอีกนิดว่า ที่ คุณเศรษฐา สามารถ “เสียบ” นายกฯกล่าว คนนั้นเข้ามาได้ ก็เป็นเพราะการยอม “เสียสัตย์” แบบ “ยอมเสียคน” ของนายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทยที่เพิ่งถูกปลด…เอ้ยไม่ใช่ถูกปรับหลุดจากเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขที่เพิ่งขึ้นนั่งได้เแค่ 7 เดือนนั่นไง!…โถ!ทำกับชลน่านได้…
จริงๆแล้วเพียงอยากบอกว่า ในช่วงยามที่องค์การสหประชาชาติประกาศว่า “โลกเดือด” นี่แหละ ที่การบริหารประเทศไทยกำลังอยู่ในมือของ “นายกฯเศรษฐา ถุงเท้าสวย” คนที่ว่าพอดี …แล้วบรรดาเกจิเดียวกับการวิเคราะห์สังคมไทยก็ประเคนข้อสรุปลงไปตรงกันหลายเสียงว่าเป็นช่วงยามที่ประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วง “ดิ่งลง” พอดีเช่นกัน
คือดิ่งลงต่ำในทุกเรื่อง ทั้งเรื่องเศรษฐกิจ ที่คนส่วนใหญ่ซึ่งเป็นคน “ชั้นล่าง” ถูกกระตุ้นถูก “โปรแกรม” ทาง “ความรู้ความคิด” ให้อยากบริโภคแบบไม่มีที่สิ้นสุด (ผลผลิตจากแผนพัฒนาฯที่ “เผด็จการสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ให้ “พ่ออเมริกา” มาวางไว้ให้ตั้งแตปี พ.ศ.2506โน่นแล้ว) แต่เศรษฐกิจฝืดเคือง ของแพง ไม่มีเงินซื้อ มีแต่หนี้สินท่วมหัวกันทั้งประเทศ ต้องตกอยู่ในวังวนแห่งทุกขเวทนาที่เกิดจาก “ความอยาก” แบบน่าสังเวชใจ
มีปัญหาเรื่องการศึกษา ที่กำลังอยู่ในระดับวิกฤติ (ลองตามไปหาดูรายละเอียดจากการประกาศเรื่อง “ผลคะแนนนักเรียนตามสมรรถนะสากล” ขององค์การระดับโลกอย่าง “PISA” ประจำปี 2565 ดูก็จะเข้าใจ)
มีปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำในสังคมอย่างรุนแรง มีปัญหาครอบครัวล่มสลาย ชุมชนล่มสลาย ปัญหายาเสพติด ปัญหาการพนันและการหลอกลวงทางออนไลน์ที่ระบาดไปทั่ว ปัญหาอาชญากรรมทุกหัวระแหง ปัญหาความเน่าเฟะทางจริยธรรม ฯลฯ
มีเกจิทางสังคมหลายท่าน(อีกนั่นแหละ)สรุปตรงกันว่า ประเด็น “การดิ่งลง…” ที่น่าจะสำคัญที่สุดของสังคมไทยยามนี้ก็น่าจะอยู่ที่เรื่อง “คุณภาพโครงสร้างทางการเมือง” เพราะเมื่อพิจารณดูแล้ว ตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบการปกครองโดยใ ห้พระมหากษัตริย์มีอำนาจสูงสุด มาเป็นระบบที่มีชื่อเรียกประหลาดๆว่า “Democracy” (ภายหลังมาเรียกเป็นคำไทยแบบแขกๆว่า “ประชาธิปไตย”) ในปีพุทธศักราช 2475 นั้น ก็ดูเหมือนว่า พอเริ่มต้นจะให้เมืองไทยใส่เสื้อยี่ห้อนี้ คนที่ออกแบบให้ใส่ก็ดันติดกระดุมเม็ดแรกผิด กล่าวคือ พอเริ่มต้นได้ไม่กี่มากน้อย “คณะผู้ก่อการ” ก็แย่งอำนาจกันเองเสียแล้ว ก็แย่งผลประโยชน์กันเองเสียแล้ว!
กลายเป็นเหมือนว่า คนสยาม(ยามนั้น)หรือคนไทยในยามต่อมาต้องถูก “มัดมือชก” ถูกต้อนให้เข้าสู่ระบบอะไรก็ไม่รู้ระบบหนึ่ง ต้องตกกระไดพลอยโจน กลายเป็นคนประเภทที่สำนวนไทยเก่าๆเรียกว่า “พวกกบเลือกนาย” หรืออะไรทำนองนั้นไปในที่สุด!
กล่าวคือ “พวกนาย” หรือ “ชนชั้นปกครอง” ที่เข้ามาใหม่แทบจะทุกชุดทุกคณะในยุค 60 ปีที่พ้นผ่าน(ที่เรียกว่ายุคประชาธิปไตยอะไรนั่น) แทบจะเป็นพวกประเภทเดียวกัน มี “คุณภาพ” เหมือนๆกัน กล่าวคือ เป็นคน(หรือ “พรรค”) ประเภท ที่สำนวนไทยเก่าๆเรียกว่าเป็นพวก “หน้าไหว้หลังหลอก” พวก “มือถือสากปากถือศีล” พวก “ต่อหน้ามะพลับ ลับหลังตะโก” พวก “ปากว่าตาขยิบ” หรืออย่างดีก็คือพวก “ดีแต่ปาก/ว่าแต่เขา อิเหนาเป็นเอง” หรืออะไรประมาณนี้แทบจะทั้งสิ้น
“นักการเมือง” และ “พรรคการเมือง” ประเภทตามสำนวนไทยที่ว่ามาทั้งหมดนั่นแหละ คือบทเรียนที่ประชาชนไทยได้พบเห็นมาตลอดช่วงที่เริ่มต้นด้วยการตามก้นยุโรป แล้วตามด้วยการตามตูด “มหามิตร-อเมริกา” มาจนถึงบัดนี้ รวมแล้วกว่า 90 ปี!
…90 กว่าปีที่ “สยาม” มีแต่จะ “ดิ่งลง”โดยเฉพาะในด้าน “คุณภาพทางสังคม” และ “คุณภาพชีวิต” (เมื่อประเมินจากสภาพความสุข ทุกข์ทางร่างกายและจิตใจ) ในทุกๆด้านของคนส่วนใหญ่ (ที่แม้จะไม่ถูกเรียกชื่อว่า “ทาส” แต่มีชีวิตยิ่งกว่า “เป็นทาส” ในหลายด้าน!)
แล้วจะทำยังไงกันดีละคร้าบๆๆ…
หรือจะต้องกู่ก้องร้องหา “อนาคตใหม่” จากคุณธนาธรแห่ง “ก้าวหน้า” และ คุณพิธา แห่ง “ก้าวไกล” (พร้อมพลพรรคของพวกเขา)ให้ช่วยที? ดูน่าจะมีอนาคตนะ!(ดูคนจะเลือก “ทาง” พวกเขามากอยู่!)
แต่…มีเกจิทางการเมืองบางคน(อีกนั่นแหละ)แอบกระซิบเสียงหนักๆอยู่ข้างหูว่า “ก็น่าจะดีนะ ถ้าพวกเขาจะไม่ก้มหัวสมาทานพกเอา “ลูกพี่” ชื่อ “สหรัฐอเมริกา” (ที่บรรดานักต่อสู้รุ่นขับไล่ฐานทัพฯยุคปี 2518 เรียกว่า “จักรพรรดินิยมอเมริกา “ผู้รุกราน!) ที่พวกเขาแสดงท่าทีซูฮกยกย่องเสียเหลือเกินมาโดยตลอดตั้งแต่เริ่มเคลื่อนขบวนทางการเมือง,ให้เข้ามาเป็น “ลูกพี่” มีอำนาจในบ้านเมืองเราด้วย…”
พอบางใครย้อนถามเกจิดังกล่าวขึ้นว่า"แล้วทำไมละ-อเมริกา,ทำไม?…
เกจิก็ตอบสวนทันทีว่า “จักรพรรดินิยมอเมริกาชอบฆ่าคน เห็นชีวิตคนเป็นผักปลา เมื่อตอนเริ่มต้้งประเทศ ก็ฆ่าคนอินเดียนแดงเจ้าถิ่นเพื่อแย่งที่ของพวกเขาจนแทบจะสูญพันธุ์ พอมีอำนาจขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็เข้าไปจุ้นแทบทุกทวีป ไปถึงแผ่นดินไหน แผ่นดินนั้นผู้คนก็แตกแยกกัน รบราฆ่าฟันกัน เกิดสงครามภายในประเทศ ใกล้ๆบ้านเราอย่างเวียดนามนั่นไง พวกเขามาฆ่าคนที่นั่น มาทิ้งบอมบ์ที่นั่น ตั้งมากมาย เพิ่งผ่านมาไม่นานนี่เอง ลืมกันหมดแล้วหรือ เพลงของบ๊อบ ไดแลน ,โจน เบซ ก็ยังเปิดยังร้องกันอยู่เลย ไม่เห็นหรือว่าพวกเขาทิ้งระเบิดปรมาณูที่ญี่ปุ่น จนมีคนตายคนเจ็บเท่าไหร่ ตอนนี้ยังรักษากันไม่จบเลย แล้วที่อิรัก ที่ลิเบีย ที่อัฟกานิสถาน และที่ไหนๆอีกละ…พวกนี้มันพวกค้าสงคราม เขาผลิตยุทธปัจจัยสงครามขายทุกอย่าง มีเลือดคนเป็นภักษาหาร…
หรือไม่เห็นว่าผู้คนที่กำลังตายกำลังเจ็บ ทั้งเด็กทั้งผู้หญิง เป็นหมื่นเป็นแสนที่ ปาเลสไตน์นะ มีใครเป็นผู้ชักใยอยู่เบื้องหลัง ให้ทั้งเงินทั้งอาวุธแบบเห็นๆ ช่วยทุกอย่าง จะเอาพวก “ปากว่าตาขยิบ” แบบนี้มาเป็นพ่อหรือไง เมืองไทยเรามี “ราก”สังคมเป็น “พุทธ” นะหรือมีรากมีคุณค่าเป็นแค่ “เงิน” อย่างเดียว?
ได้ฟังคำตอบของท่านเกจิแบบชัดๆแล้ว ก็ให้รู้สึก “เสียวกระหม่อม” และ หดหู่วังเวงหัวใจกับ “ประเทศไทย” ที่ “ดิ่งลง”เป็นกำลัง!