ร้อยเอก ดร.จารุพล เรืองสุวรรณ

อาจารย์ประจำสถาบันการทูตและการต่างประเทศ

มหาวิทยาลัยรังสิต

ก่อนอื่นผมต้องแสดงความเสียใจอย่างที่สุดต่อเหตุการณ์กราดยิงในคอนเสิร์ตที่รัสเซียเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาครับ นับว่าเป็นอีกหนึ่งความสูญเสียต่อเพื่อนมนุษย์ที่น่ากลัวและไม่น่าเกิดขึ้น จนต้องขอเริ่มบทความสัปดาห์นี้ด้วยการแสดงความเสียใจมา ณ ที่นี้ครับ

จากเหตุการณ์กราดยิงที่ผ่านมาสดๆร้อนๆ ปูตินได้ออกมากล่าวว่า นี่เป็น “การก่อการร้าย” ครั้งใหญ่ต่อรัสเซีย ท่านผู้อ่านคงจะคุ้นเคยกับคำๆนี้กันเป็นอย่างดีตามหน้าข่าวต่างๆ แต่ท่านทราบหรือไม่ครับ จริงๆแล้วมันมีความหมายและประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจมากๆเลยทีเดียว วันนี้ผมยกเอาเรื่องการก่อการร้าย (Terroism) มาเล่าให้ได้อ่านกันครับ

การก่อการร้าย (Terrorism) คืออะไร?

การก่อการร้าย หรือ Terrorism นั้นเป็นหนึ่งในยุทธวิธีทางทหารที่มีใช้มาอย่างยาวนานครับ ว่ากันว่ามีประวัติในการใช้ถูกบันทึกไว้ตั้งแต่สมัยสงครามกลางเมืองในสเปนเมื่อหลักร้อยปีที่แล้ว ถ้าอยากจะเข้าใจง่ายๆต้องย้อนไปดูที่ภาษาอังกฤษกันครับ

การก่อการร้าย ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า Terrorism ซึ่งมาจากคำว่า Terror หรือแปลว่า ความน่ากลัว หรือสิ่งน่ากลัว สาเหตุที่เรียกเช่นนี้ก็เพราะยุทธวิธีนี้เป็นหนึ่งในยุทธวิธีภายใต้ “การรบนอกแบบ” (Unconventional warfare)  ที่มีหัวใจหลักคือการทำให้เกิด “ความหวาดกลัว” นั่นเอง การใช้ยุทธวิธีลักษณะนี้มักใช้กับการรบแบบอสมมาตร หรือการรบที่สองฝั่งมีกำลังไม่เท่ากัน และเป็นวิธีที่ “คนตัวเล็ก” เลือกใช้สู้กับ “คนตัวใหญ่” หรือเรียกว่า เป็นยุทธวิธีของ “แจ็ค” ที่เอาไว้สู้กับ “ยักษ์” ก็ไม่ผิดแต่อย่างใด

แนวทางในการดำเนินยุทธวิธีนี้จึงอยู่บนพื้นฐานของการสร้างความหวาดกลัว เช่นการซุ่มโจมตี การก่อวินาศกรรม หรือแม้แต่การโจมตีทางไซเบอร์ในปัจจุบัน เพื่อให้ฝ่ายที่แข็งแรงกว่าอ่อนกำลังลง ทำลายขวัญและกำลังใจของทหาร ตลอดจนเป็นการทำลายทางการเมือง เช่น ทำให้ประชาชนของฝั่งตรงข้ามเกิดความหวาดกลัวและกดดันรัฐบาลของตนเอง ทำลายความน่าเชื่อถือลง เรียกว่าใช้ความกลัวสร้างแรงกดดันต่อฝั่งตรงข้าม เพื่อให้นำไปสู่ผลลัพธ์ที่ต้องการ ซึ่งอาจเป็นทางทหารหรือทางการเมือง

ทางทหาร ก็อาจทำให้เสียขวัญ ท้อแท้ หวาดกลัว หนีทัพ หรือเกิดการถอนกำลังออกจากพื้นที่ ในทางการเมือง ก็อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างทางการเมือง เช่น เกิดการเจรจา เกิดการหยุดยิง หรือเกิดจลาจลไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงผู้นำ

ดังนั้น หัวใจของ terrorism คือการสร้างความกลัว ทีนี้ ความกลัวจะเกิดได้ดีที่สุด ก็ย่อมต้องเกิดภายใต้สภาวะที่ “คาดการณ์ไม่ได้ มองไม่เห็น ป้องกันได้ยาก” นี่คือสภาวะพื้นฐานที่ก่อให้เกิดความกลัว จริงไม่จริงท่านก็ลองนึกภาพตอนท่านกลัวผีโผล่ออกมานั่นแหละครับ มันคาดการณ์ไม่ได้ มันมองไม่เห็น มันเงียบ และที่สำคัญเราป้องกันตัวเองจากผีที่โผล่มาได้ยาก ใช่ไหมครับ

การปฏิบัติการด้วยยุทธวิธีนี้จึงต้องอาศัย ความเงียบ ความเป็นปกติของสถานการณ์ และการปกปิดความลับสูงสุด จากนั้นจึงบึ้มมมม สร้างความแตกตื่นหวาดกลัวแบบเซอร์ไพรส์ จึงไม่แปลกที่รูปแบบการโจมตีของการก่อการร้ายจะมีความครีเอทีฟขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่การวางระเบิด การเอาเครื่องบินชนตึก ไปจนถึงการขับรถพุ่งเข้าไปชนแบบยอมตายไปกับระเบิด หรือที่เรียกว่าระเบิดพลีชีพ ก็เพราะใครจะไปคิดล่ะครับว่าจะกล้าทำกันแบบนี้ พอเกิดขึ้นแล้ว เราก็เอามาเป็นบทเรียนป้องกัน ส่วนผู้ก่อการก็มีหน้าที่ไปครีเอทวิธีการใหม่ๆกันต่อ

กล่าวโดยสรุปได้ว่า terrorism หรือการก่อการร้ายนั้น มันคือ “ผี” นั่นเองครับ

เพราะเรามองไม่เห็น ไม่รู้ว่ามีหรือไม่มี และไม่รู้จะมาเมื่อไร เป็นการสร้างความ “หลอน” ให้อยู่กับประชาชนและรัฐบาลของเป้าหมาย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนคือหลังจากเหตุการณ์ 9/11 ถ้าใครมีโอกาสได้ไปประเทศตะวันตกในช่วงสิบปีหลังจากนั้น ท่านจะทราบว่าประเทศตะวันตก กลัวกระทั่งถังขยะ ลอนดอนทั้งเมืองเอาถึงขยะสาธารณะออกไปจนเกือบหมด โดยเฉพาะรถไฟใต้ดิน เพราะหลอนว่าจะมีคนเอาระเบิดมาวาง เดือดร้อนกันไปทั้งประเทศ รวมไปจนถึงการหลอนชาวอาหรับที่ไว้หนวดไว้เครา ความหลอนต่างๆเหล่านี้ก็เพื่อกดดันให้ประเทศตะวันตกเหล่านี้เลิกยุ่งกับดินแดนในตะวันออกกลางเสียที นั่นเอง

ในช่วงหลังๆที่ผ่านมามีการใช้คำว่าการก่อการร้ายกันอย่างแพร่หลาย จนบางทีก็ก่อให้เกิดความสับสนว่าอะไรคือการก่อการร้ายกันแน่ เอาเป็นว่าท่านผู้อ่านทำความเข้าใจแบบง่ายๆว่ามันเป็นเทคนิคในการต่อสู้ของคนที่มีอำนาจน้อยใช้สู้กับคนมีอำนาจมาก โดยการสร้างความหวาดกลัวแบบเซอร์ไพรส์ด้วยวิธีการต่างๆที่คาดไม่ถึง เพื่อผลลัพธ์ทางทหารหรือการเมือง ส่วนจะเป็นวิธีใดนั้นก็สุดแท้แต่ผู้ก่อการจะครีเอทกัน

ประชาชนอย่างเราจึงมีหน้าที่สำคัญในการช่วยเป็นหูเป็นตาครับ การป้องกันที่ดีที่สุด คือการให้หลายล้านดวงตาช่วยกันสอดส่อง เมื่อเห็นสิ่งใดที่ผิดปกติ ก็ต้องรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ และอย่านิ่งนอนใจนะครับ ว่าบ้านเราเป็นเมืองสงบ เพราะการก่อเหตุนั้นอาจไม่ได้ต้องการทำร้ายคนไทย แต่อาจต้องการทำร้ายคนต่างชาติที่เป็นคู่ขัดแย้งกัน เพียงแต่มาใช้สถานที่ในไทยเพื่อผลลัพธ์ที่ต้องการเท่านั้นเอง ก็เป็นได้ครับ

หวังว่าจะมีประโยชน์กับทุกท่านไม่มากก็น้อยครับ....เอวัง