แม้ที่ผ่านมา เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ในฐานะ ผู้นำรัฐบาล ได้ยืนยันกับสื่อมวลชนมาหลายต่อหลายครั้งว่า เขาเองยังไม่มีความคิดเรื่อง ปรับครม. อยู่ในหัว
เช่นเดียวกันกับที่ แกนนำพรรคเพื่อไทย ที่เข้าไปนั่งทำหน้าที่ รัฐมนตรี อยู่ในครม. เศรษฐา 1 ได้ออกมาให้ข้อมูลให้ทิศทางเดียวกัน พร้อมทั้งย้ำว่าต้องอยู่ที่นายกฯเศรษฐา เพราะมีอำนาจในการตัดสินใจ ว่าจะปรับครม.หรือไม่ และหากปรับจริง จะดำเนินการเมื่อใด
แต่ดูเหมือนว่า การบอกเล่ากับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นและกำลังดำเนินไปนั้น สวนทาง กันอย่างสิ้นเชิง ยิ่งเมื่อการที่ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ออกมาปรากฏตัวสู่สาธารณชน แม้จะอยู่ในระหว่างการพักโทษ แต่การกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดที่จังหวัดเชียงใหม่ ใช้เวลา 3วันที่ผ่านมา น่าจะเป็น คำตอบ ที่ชัดเจนในตัวเองแล้วว่า แท้จริงแล้ว ศูนย์รวมอำนาจ ตัวจริง เสียงจริง นั้นอยู่ที่ทักษิณ และบ้านจันทร์ส่องหล้า ไม่ใช่ทำเนียบรัฐบาลแต่อย่างใด
ทั้งนี้ อำนาจและการตัดสินใจว่าใครจะอยู่หรือไป ถูกเชื่อมโยงกับทักษิณ มาตั้งแต่แรก เพราะในทุก ดีลลับ เพื่อแลกให้ทักษิณที่หนีคดีไปอยู่ต่างประเทศ 17ปีได้กลับประเทศไทย นั้นคือ เงื่อนไขหลัก และเป็นผลประโยชน์ที่ พรรคเพื่อไทย ไม่อาจปฏิเสธได้ ว่าทั้งพรรคและครม. ย่อมมีทักษิณ เป็นคนกำหนดเกม
ศึกการซักฟอกรัฐบาล เศรษฐา 1 ทั้งโดย วุฒิสภา ที่ใช้สิทธิตามมาตรา 153 และ ฝ่ายค้าน ที่ยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ รัฐบาล ตามมาตรา 152 นั้นย่อมเป็นที่รับรู้กันได้ว่า เมื่อไม่มีการ โหวตลงมติ ชี้ว่า รัฐมนตรี หรือแม้แต่ ตัวนายกฯ ได้รับเสียงไว้วางใจเท่าใดแล้ว ย่อมไม่แรงสะเทือนมากพอ
ทว่า หลังการบริหารงานของรัฐบาลผ่านพ้นไป 6เดือน แม้จะไม่ยาวนาน และที่สำคัญยังไม่มีประเด็นเรื่องของการใช้ เงินงบประมาณ 2567 แต่อย่างใด ก็จริงอยู่ แต่ในอีกด้านหนึ่ง ปฏิเสธไม่ได้ว่า กระแส ของนายกฯและพรรคเพื่อไทย นั้นยังไม่กระเตื้อง แม้พรรคเพื่อไทย จะพลิกมาสู่บท รัฐบาล แต่ผู้คนในสังคม กลับพากัน เทคะแนน ให้ พรรคก้าวไกล เสียอย่างนั้น
นอกจากนี้ต้องยอมรับว่าภายในพรรคเพื่อไทย มีความเคลื่อนไหวของ แกนนำ ไปจนถึง กลุ่มก๊วน ที่มีความหวังและต้องการเข้ามาทำหน้าที่ รัฐมนตรี ชุดใหม่ ล้วนกำลัง รอคิว ในการปรับครม. รอบใหม่ นี้น่าจะมีความชัดเจนว่า เฉพาะ พรรคเพื่อไทย เป็นหลักส่วนพรรคร่วมรัฐบาลพรรคอื่น ไม่มีความประสงค์ขยับเพื่อให้เกิด แรงกระเพื่อม
โดย บิ๊กป๊อด พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ของพรรคพลังประชารัฐ ก็พูดชัดแล้วว่า ปรับครม. ไม่เกี่ยวกับพรรค
ดังนั้นเมื่อเป็นเรื่องพรรคเพื่อไทยเป็นหลัก จึงถูกจับตาว่า ปฏิบัติการเปลี่ยนเก้าอี้เล่นจะเกิดขึ้นเมื่อใด ทั้งนี้มีรายงานว่า โอกาสปรับครม.น่าจะมีขึ้นหลังเสร็จสิ้นการอภิปรายไม่ไว้วางใจ โดยไม่มีการลงมติ ของทั้ง สว. และ ฝ่ายค้านผ่านพ้นไปแล้ว แต่จะอาศัย บาดแผล จากการอภิปรายฯ รัฐมนตรีบางกระทรวง มาเป็น เหตุ ในการเปลี่ยนตัวผู้เล่นเดิม ออกมา
รัฐมนตรีในโควตาของพรรคเพื่อไทย หลายคนเวลานี้ต้องหาทาง ยึดเก้าอี้ เอาไว้ให้ได้มากที่สุด เพราะการปรับครม. สไตล์ ทักษิณนั้น แทบไม่มีอะไรการันตีได้ว่า ผลงาน จากการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา จะทำให้อยู่รอดปลอดภัย ยิ่งในบางกระทรวง เจ้ากระทรวง ที่เป็น เบอร์หนึ่ง ยังทำแต้มต่อไม่ขึ้น ต้องอาศัย ตัวช่วย ก็อาจจะถึงเวลา ย้ายที่เล่น แม้จะไม่ถูกเด้งออก ก็มีสิทธิไปนั่งเก้าอี้ที่เล็กลง !